ช่วงนี้จะเห็นได้ว่าการแข่งขันด้าน Mobile Payment ของแต่ละธนาคารนั้นดุเดือดกันมากทีเดียว โดยเฉพาะหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศการใช้มาตรฐาน QR Code เดียวกัน ในการชำระเงิน ลดการใช้จ่ายด้วยเงินสด นำประเทศสู่ Cashless Society ธนาคารไหนที่ตื่นตัว มีเทคโนโลยีก่อน ยิ่งได้เปรียบ ซึ่ง Techsauce ก็ได้มีโอกาสร่วมเสวนากับคุณ คุณสมคิด จิรานันตรัตน์ รองประธาน กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ในหัวข้อ ‘Future Technology Trend Talk’ เจาะเบื้องลึกสิ่งที่กสิกรไทยได้ทำอยู่ พร้อมชู 5 เทคโนโลยีสำคัญ ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการธนาคารและภาคธุรกิจ อีกทั้งยังมีการเปิดเผย Tag 31 ที่เป็นอีกขั้นของนวัตกรรมด้าน QR code ที่กสิกรไทยได้ริเริ่มขึ้น
คุณสมคิดได้เล่าถึง Mobile Platform ที่เป็นหัวใจสำคัญ โดยโลกในยุคโมบายทำให้โลกของธนาคารตื่นตัวอย่างมาก หลายธนาคารต้องแข่งขันกัน กสิกรไทยมองว่า สิ่งสำคัญในเวลานี้คือ Mobile หรืออุปกรณ์มือถือ ที่มุ่งดำเนินการมาปีกว่าในการพัฒนาในรูปที่เรียกว่า “แพลตฟอร์ม” โดยบริการด้าน Mobile Banking และ Mobile Payment ที่สำคัญของธนาคาร คือ K PLUS แอปพลิเคชั่นธนาคารบนมือถือสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ด้วยจำนวนผู้ใช้งานปัจจุบัน 6.5 ล้านราย และ K PLUS SHOP แอปพลิชั่นสำหรับร้านค้าแอปฯแรกของไทย เพื่อการรับชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดที่เป็น Thai National QR Standard เปิดให้บริการตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม 2560 เป็นต้นมา มีร้านค้าใช้งานจำนวน 2,000 ร้านค้า เป้าหมายเพิ่มเป็น 200,000 ร้านค้า ทั่วประเทศภายในสิ้นปีนี้ และจากนี้กสิกรไทยจะมุ่งเน้นการพัฒนาให้เป็นแพลตฟอร์มด้าน Life Style ที่มากขึ้น ซึ่งจะมี 5 เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาท
พร้อมเพย์ เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชำระเงินในประเทศไทยโดยที่เราไม่ต้องใช้เงินสด เราสามารถผูกบัญชีพร้อมเพย์ได้ 3 ทาง ได้แก่ เบอร์โทรศัพท์ เลขประจำตัวประชาชน และ เลข e-Wallet PromptPay (15 หลัก) โดยพร้อมเพย์ได้ต่อยอดไปสู่การใช้ Standardized QR Code เพื่อให้การชำระเงินเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยหลายธนาคารมีรูปแบบการใช้การสร้าง QR Codeโดยผู้กับบัญชีพร้อมเพย์ ของร้านค้าที่ผูกกับเบอร์โทรศัพท์หรือเลขประจำตัวประชาชน ในการรับเงิน ขณะที่ K PLUS SHOP ของกสิกรไทยได้เลือกใช้ e-Wallet PromptPay เป็นตัวแทนของบัญชีร้านค้าในการรับ QR Payment เนื่องจากมองว่าเบอร์มือถือและเลขบัตรประชาชนเป็นข้อมูลส่วนตัว
ใน Stadardized QR Code ที่เป็นมาตรฐานการใช้งานร่วมกันจะอ่านค่าการตัดเงินผ่าน 2 วิธี หรือ 2 Tag คือ Tag 29 Promtpay Credit Transfer และ Tag 30 Promtpay Bill Payment โดย 2 Tag นี้เป็นมาตรฐานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ทุกธนาคารต้องมี แต่กสิกรไทยได้ริเริ่ม Tag 31 เป็นอีกหนึ่งวิธีในการตัดเงิน
Tag 31 เป็นอีกหนึ่งการอ่านค่าผ่าน API คือ คุยกันด้วย API (ไม่ได้ใช้ค่าพร้อมเพย์นั่นเอง) เป็นนวัตกรรมที่กสิกรไทยเชื่อว่าสามารถใช้งานได้จริงและง่ายขึ้น โดยความพิเศษของ Tag 31 นี้ คือ เป็นช่องทางที่เปิดเพื่อให้หน่วยงานอื่น หรือสตาร์ทอัพ มาเชื่อมต่อได้ในอนาคต เพื่อเชื่อมต่อธุรกรรมระหว่างกัน และทางกสิกรไทย พร้อมเปิดให้ธนาคารอื่นมาเชื่อมต่อได้ด้วยเช่นกัน
K PLUS SHOP ได้ถูกพัฒนาให้ทำงานได้นอกเหนือจากการรับชำระด้วยการยิง QR Code โดยทีมนักพัฒนาอยู่ระหว่างการต่อยอดให้ K PLUS SHOP มีรูปแบบการรับชำระจากการเข้าใกล้ได้อีกด้วย โดยใช้เทคโนโลยีที่หลากหลายในการพัฒนา เช่น Bluetooth, Ultra Sonic, GPS เป็นต้น คาดว่าจะได้ใช้งานในเฟสถัดไป
Machine Learning จะเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญในการเพิ่มคุณค่าของธุรกิจธนาคาร โดย Machine Learning จะสามารถทำให้ธนาคารเข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้น จากเดิมที่ธนาคารแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ ธนาคารจะสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้ารายบุคคลและนำเสนอบริการที่เหมาะสมกับลูกค้าได้
Biometric Verification และบล็อกเชน เป็นอีกเทคโนโลยี ที่จะเพิ่มความสะดวกสบายในการสมัครบริการต่าง ๆ ของธนาคารรวมไปถึง บริการที่นอกเหนือจากในธนาคารได้ โดย Biometric Verification จะสามารถสร้างความมั่นใจในการยืนยันตัวตนของลูกค้า
Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาจัดการเรื่องการจัดเก็บข้อมูลและรับรองเอกสาร สร้างความมั่นใจเรื่อง authenticity ของเอกสาร ระหว่างผู้ให้บริการที่ต้องใช้เอกสารนั้น ๆ ลดต้นทุนการจัดการเอกสารที่เป็นกระดาษ นับเป็นเทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมธุรกิจได้ในอนาคต ซึ่งตัวอย่างการนำบล็อกเชนมาใช้ในธุรกิจ คือ บริการหนังสือค้ำประกันบนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Enterprise Letter of Guarantee on Blockchain) ที่พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก โดยธนาคารกสิกรไทยเปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา ขณะนี้พัฒนาบริการอยู่ภายใต้ Regulatory Sandbox ทั้งนี้ เชื่อว่าบริการหนังสือค้ำประกันบนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เกิดขึ้นนี้ จะถูกนำไปใช้และพัฒนาให้เป็นมาตรฐานใหม่ที่เป็นสากล เพราะบล็อกเชนจะเอื้อให้ทุกภาคส่วนในระบบเชื่อมต่อและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ร่วมกัน ช่วยลดการใช้กระดาษ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ
ท่ามกลางการแข่งขันด้าน Mobile Payment ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บริการสามารถครองใจผู้ใช้งานได้ ก็คงหนีไม่พ้นการออกแบบ UX/UI (User Experience / User Interface) ให้ลูกค้าใช้งานง่าย (Simple) ซึ่งจากที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า กสิกรไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนา Mobile Banking จนทำให้มีฐานผู้ใช้จำนวนมากเป็นอันดับหนึ่ง จึงเป็นที่น่าจับตามมองอย่างยิ่งว่าเทรนด์เทคโนโลยีที่กสิกรไทยมุ่งเน้นเพื่อการพัฒนาบริการให้สามารถครองใจผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง และนำประเทศไทยสู่ Cashless Society ดังกล่าว จะนำไปสู่การเป็นแพลทฟอร์มบริการที่นำเสนอบริการทางการเงินและสิ่งที่เหนือความคาดหมายได้อย่างไรบ้าง และเราคงจะได้เห็นคำตอบในเร็ววันนี้
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด