เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทยหรือ KBank ได้จัดงาน “THE METAMORPHOSIS” Regional Business Town Hall & Press Conference 2021 เพื่อเปิดโอกาสให้ได้รู้จักกับ KBank World Business Group (WBG) หรือธนาคารกสิกรไทยสายงานธุรกิจข้ามประเทศ โดยมีการพูดคุยถึงเป้าหมายการขยายธุรกิจเพื่อสร้างความเติบโตในภูมิภาค พร้อมกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อมอบคุณค่าให้แก่ลูกค้า รวมไปถึงรูปแบบการทำงานที่ท้าทาย มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ดึงดูด Top Talent รุ่นใหม่ โดย Speaker คณะผู้บริหารจากธนาคารกสิกรไทย
ได้แก่
คุณพิพิธ เอนกนิธิ, กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย
คุณเรืองโรจน์ พูนผล, ประธานกลุ่มบริษัท KBTG (Group Chairman – KASIKORN BUSINESS-TECHNOLOGY GROUP)
คุณภัทรพงศ์ กัณหสุวรรณ, รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย
คุณสุวัฒน์ เตชะวัฒนวรรณา, รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย
คุณชัช เหลืองอาภา, รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย
หัวข้อหลักของงานคือ The Metamorphosis ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ KBank WBG เปรียบเสมือนวิวัฒนาการของผีเสื้อที่ค่อย ๆ เติบโตจนสามารถแสดงความงดงามได้ ทั้งนี้คุณภัทรพงศ์ได้กล่าวถึงความหมายของ Metamorphosis ว่าคือวิวัฒนาการเชิงความคิดของธนาคารกสิกรไทยที่เปลี่ยนการทำธุรกิจจากเดิมที่มุ่งให้ความสำคัญกับกิจการธนาคาร สู่การเป็น ‘Beyond Banking’ โดยทุ่มเทในเรื่องของพัฒนาการเชิงเทคโนโลยีที่มุ่งสร้างโซลูชันและเพิ่มขีดความสามารถ และท้ายที่สุดธนาคารจะกลายเป็นผีเสื้อตัวใหญ่ที่สวยงามพร้อมโบยบิน
สำหรับวิสัยทัศน์ของผู้นำและคณะผู้บริหารของ KBank คุณภัทรพงศ์ได้กล่าวถึงการทำงานอย่างทุ่มเทของทุกฝ่ายเพื่อสร้างสิ่งที่มีความหมายให้กับประเทศ โดยเชื่อมภูมิภาคเข้าถึงกันเพื่อยกระดับชีวิตของลูกค้า พร้อมความตั้งใจของทางธนาคารเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนอยู่บนปรัชญา ESG
ปัจจุบันธนาคารได้ขยายธุรกิจเข้าไปในหลายประเทศ เช่น จีน ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเทคโนโลยี และในหลายประเทศทั่วภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยธนาคารสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ และนั่นหมายความว่าเป้าหมายของธนาคารในการสร้างการเติบโตอีก 5 เท่าในระยะเวลาสองปีข้างหน้าจึงไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด
ในยุคปัจจุบัน โลกอยู่ท่ามกลางการแข่งขันของสองมหาอำนาจใหญ่อย่างจีนและสหรัฐฯ ทั้งการแข่งขันด้านการค้าการลงทุน การแข่งขันในด้านขีดความสามารถทางเทคโนโลยี ทั้งยังมีการแพร่ระบาดของโควิดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยท่ามกลางการแข่งขัน โดยคุณพิพิธได้แนะนำให้มองการแข่งขันของสองมหาอำนาจนี้เป็นโอกาสมากกว่าภัยคุกคามสำหรับอาเซียน และควรหาช่องทางเพื่อเชื่อมผลประโยชน์ระหว่างมหาอำนาจเพื่อประโยชน์สูงสุดท่ามกลางสงครามการค้าอันดุเดือดเช่นนี้
คุณพิพิธยังได้แบ่งปันในมุมมองของการอยู่รอดท่ามกลางภูมิทัศน์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีปัจจัยหลักที่เป็นตัวกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ต้องตามให้ทัน ได้แก่
DECOUPLING โอกาสที่อาเซียนจะสามารถเชื่อมต่อกับจีนและสหรัฐฯ จากการเปิดกว้างต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับทั้งสองประเทศ
REGIONALIZATION 2.0 จีนผันตัวเองไปเน้นการส่งออกสินค้าไฮเทคและนวัตกรรม และทยอยย้ายฐานการผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้นไปยังประเทศอื่น โดยเฉพาะอาเซียน เพื่อรองรับตลาดผู้บริโภคชนชั้นกลางจำนวนมาก
NEXT-GEN DIGITALIZATION Digital technology ขับเคลื่อนและสร้างโอกาสทางธุรกิจ ทำให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น ยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศในภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบรับการเปลี่ยนผ่านสู่การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
DECARBONIZATION กระแสการมุ่งสู่สังคมที่ไร้คาร์บอนของนานาประเทศ นับเป็นโอกาสทางธุรกิจในการสร้างห่วงโซ่อุปทานสีเขียว (Green Supply Chain) ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาเซียนบนเส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตข้างหน้า
โดยคุณพิพิธแนะนำว่าให้มองการผงาดขึ้นของจีนในฐานะผู้วางระเบียบโลกรายใหม่ที่มีอำนาจการใช้จ่ายสูง และจำนวนประชากรที่ทำให้สามารถครองอันดับทางเศรษฐกิจโลกทั้งในแง่ของจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต อุตสาหกรรมค้าปลีก หรือ e-Commerce ที่เติบโต นำไปสู่ Data ที่ Flow จำนวนมาก ซึ่งหมายความว่าจีนจะมีพลังมหาศาล
นอกจากนี้กระแส Metaverse ที่กำลังมาแรงจะเป็นสิ่งที่เข้ามาเชื่อมโลกที่เราอาศัยเข้าสู่โลก Virtual เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับผู้บริโภค รวมทั้งสามารถใช้ Digital Twin เพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจ รวมถึงระบบของธนาคารพาณิชย์เองก็มีโอกาสปรับสู่ Metaverse ขณะเดียวกันการรักษาสิ่งแวดล้อมก็จะเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือโลกท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันในด้านอื่น ถือเป็นการเปลี่ยนภูมิทัศน์โลกหลังโควิดที่ทุกประเทศทั่วโลกจะมาร่วมมือกันพัฒนา ซึ่งปัจจัยทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง และควรเตรียมตัวให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อคว้าโอกาสสำหรับการเติบโต
ปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยได้ขยายสาขาไปที่ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนโดยได้ตั้งสาขาในเวียดนาม สปป. ลาว กัมพูชา และคุณเรืองโรจน์ได้กล่าวว่าธนาคารกสิกรไทยนั้นตั้งเป้าหมายเพื่อเป็น “One of The Best Technology Team” ในภูมิภาคนี้ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะปัจจุบันอาเซียนคือยุคทองของ Financial Service และ Fintech ที่มีการเชื่อมต่อกันอย่างมหาศาล นับว่าเป็นโอกาสที่อาจจะหาไม่ได้อีกแล้วในอนาคต
สำหรับการเจาะตลาด AEC คุณชัชมองว่าเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีสิ่งใหม่ให้ได้ทดลอง โดยทางธนาคารกสิกรไทยจะไปพร้อมความสามารถทางด้านดิจิทัล และพัฒนาแพลตฟอร์มให้ถูกใจผู้ใช้งาน ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีจำนวนสาขามาก แต่สามารถดำเนินงานตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ และคุณชัชได้ให้รายละเอียดว่าคนเวียดนามโดยพื้นฐานนั้นเป็น Digital Native ซึ่งตรงกับจุดแข็งของธนาคารกสิกรในฐานะผู้นำทางด้านดิจิทัล
สิ่งที่น่าสนใจคือคุณภัทรพงศ์มองว่าธนาคารกสิกรไทยนั้นเปรียบเสมือน Tech Startup ที่มี Banking License จึงสามารถเปิดสาขาที่เกี่ยวข้องกับการเงินได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่มีมากกว่าบรรดาธุรกิจ Fintech ในจีน และขณะเดียวกันกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กที่เป็นรายบุคคล หรือ SMEs ยังไม่ได้รับการดูแลจากธนาคารรายใหญ่ของจีน ทางกสิกรไทยจึงใช้โอกาสนี้ในการเข้าไปทำธุรกิจในจีน ซึ่งธุรกิจหลักที่เน้นได้แก่ Digital Lending สำหรับลูกค้ารายย่อย MSMEs, Cross-border Supply Chain Financing และ Digital Asset เช่น NFTs เพื่อแบ่งปันผลงานของศิลปินไทยไปยังต่างประเทศ
ทางด้านคุณเรืองโรจน์มองว่าปัจจุบันจีนถือเป็นประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงไทยต้องเรียนรู้จากพัฒนาการของจีน อีกทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์จากตลาดที่ใหญ่และจำนวนประชากรมหาศาลของจีนอันเป็นจุดแข็งสำคัญ พร้อมกับการแข่งขันภายในประเทศที่สูงทำให้ไทยสามารถเข้าถึง Ecosystem ของจีน และเรียนรู้จากจุดนั้นได้
นอกจากนี้ในแง่ของ Fintech จีนยังถือว่าเป็นตลาดที่ Advance ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังถือว่าเป็น Pioneer ในหลายเรื่อง เช่นการใช้ประโยชน์จาก AI, IoT, Big Data, Cloud และ Blockchain เพื่อ Digitalize ด้าน Financial Service ทั้ง Payment, Wealth Management และ Online Lending ซึ่งสามารถให้เราเรียนรู้ได้ อีกทั้งสถานการณ์โควิด-19 ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเร่งการเปลี่ยนแปลงในจีน ทำให้การ Adoption เทคโนโลยีต่างๆ ได้หลอมรวมกันและเติบโตอย่างก้าวกระโดดซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะคว้าโอกาสจากการเติบโตของตลาดเหล่านี้อย่างพลาดไม่ได้
ขณะเดียวกันตลาดแรงงานจีนยังเป็นตลาดใหญ่ที่ผลิตแรงงานสาย IT และสายงาน STEM (Science, Technology, Engineering and Mathematics) ซึ่งธนาคารกสิกรไทยมองเห็นโอกาสและได้หา Talent จากบริษัทชั้นนำของจีน อีกทั้งยังมีการทำงานร่วมกับ KTECH ในจีนได้อย่างไร้รอยต่อ โดยตั้งเป้าเพื่อการเติบโตมากขึ้น ซึ่งในอนาคตจะมีการเร่งสร้างนวัตกรรม เช่น Banking-as-a-Service (BaaS), Blockchain Platform และอีกมากมายเพื่อให้ธนาคารกสิกรไทยมีบทบาทเป็น Leading Fintech Company พร้อมเป็น Ecosystem Hub เชื่อมต่อ Bank, Partner และ Customer ที่จีนเพื่อนำประโยชน์ที่ได้มาปรับใช้กับธนาคารกสิกรไทยและคู่ค้าของธนาคารกสิกรไทยทั้งหมด
จุดเด่นในการทำงานของทีม WBG คือการทำงานแบบคนรุ่นใหม่อย่างไม่กลัวความท้าทายและการเปลี่ยนแปลง โดยการทำงานจะมีการแบ่งเป็นทีมรับผิดชอบในแต่ละเรื่อง และในอีกสามปีข้างหน้าคุณภัทรพงศ์มุ่งเน้นไปที่การทำให้ลูกค้าประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ พร้อมลบภาพจำธุรกิจธนาคารแบบเดิม โดยใช้ความสามารถทางด้านดิจิทัลสร้างโซลูชันเพื่อช่วยลดความเสี่ยงให้กับลูกค้า พร้อมเดินหน้าสร้างคุณค่าและช่วยเหลือสังคมในทุกประเทศ ทั้งยังสร้างการเติบโตในหลายรูปแบบ ทั้งการลงทุนเอง และหาพาร์ทเนอร์ทำ Joint Venture กับบริษัท Local ทั้งที่เป็นธนาคารและไม่ใช่ธนาคาร
นอกจากนี้ธนาคารกสิกรไทยยังถือเป็นองค์กรที่เป็นแหล่งบ่มเพาะบุคลากรและมีการส่งพนักงานไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ จึงมีการสร้างโรงเรียนเพื่อที่จะ ฝึกฝนและเตรียมพร้อมให้พนักงานมีคุณภาพ เพื่อส่งมอบสิ่งที่มีคุณค่าไปทั่วภูมิภาค ทั้งมองการบริหารจัดการทรัพยากรคนให้เป็นไปในรูปแบบของธุรกิจซึ่งบุคลากรของกสิกรไทยจะเป็นที่ต้องการของตลาด และธนาคารพร้อมสนับสนุน เพราะถือว่า ได้สร้าง Talent Pool เก่งๆ ที่มีความสามารถเพื่อเข้าไปช่วยเหลือองค์กรอื่นๆ ที่ต้องการขยายธุรกิจในต่างประเทศ และสะท้อนไปถึงการพัฒนาของชาติได้
และด้วยเป้าหมายและพันธกิจของธนาคารที่ใหญ่ขึ้น ส่งผลให้กลุ่ม WBG ได้ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนพนักงานเป็น 1,037 คนในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นถึง 52% จากปี 2563 เพื่อขยายศักยภาพของทีม
ทางธนาคารจึงมีความยินดีต้อนรับคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ และมีความมุ่งมั่นพร้อมจะเติบโตเพื่อผสานเข้ากับความตั้งใจของธนาคารเพื่อเป็นองค์กรสำหรับ Talent ทั่วโลก ผ่านแนวคิด “World of Borderless Growth” ซึ่ง เป็นโอกาสในการเติบโตอย่างไร้ขอบเขตทุกมิติ ทั้ง Personal Growth ซึ่งเป็นการเติบโตผ่านประสบการณ์ทำงานจริงที่ท้าทาย Growth of Team การเติบโตร่วมกับทีมที่เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน Growth of Partners ที่เติบโตไปพร้อมกับพันธมิตรทั้ง Tech Company และ Startup ระดับโลก และ Growth of Community การเติบโตเคียงข้างกับสังคมผ่านทุกภารกิจ (Mission) ของ WBG ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นต่อไป
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด