อะไรทำให้ลอรีอัล กรุ๊ป เป็นบริษัทความงามอันดับ 1 ของโลก? หนึ่งในคำตอบสำคัญคือการมีแบรนด์ชั้นนำระดับโลกเกือบ 40 แบรนด์ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างหลากหลาย ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ความงาม ตั้งแต่กลุ่มดูแลผิว เครื่องสำอาง ดูแลเส้นผม ทำสีผม ไปจนถึงน้ำหอม
ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์หรูอย่าง Lancôme, Kiehl's, Giorgio Armani Beauty, Yves Saint Laurent Beauté และแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคยอย่าง L’Oréal Paris, Garnier, Maybelline หรือแบรนด์เวชสำอางที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำอย่าง La Roche-Posay, Vichy และ CeraVe
แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนลอรีอัลมาโดยตลอด ก็คือ “วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม” ซึ่งถือเป็นดีเอ็นเอของบริษัทมาตั้งแต่ยุคของ. ยูจีน ชูแลร์ (Eugène Schueller) นักเคมีผู้ก่อตั้งบริษัท ผู้คิดค้นสูตรยาย้อมผมที่ปลอดภัยและให้สีสวยเป็นธรรมชาติเป็นครั้งแรกในโลก ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทั้งปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ลอรีอัลจึงสามารถสร้างความไว้วางใจจากผู้บริโภคทั่วโลกมาได้
ลอรีอัล กรุ๊ปมองว่าหัวใจของความงามเริ่มต้นจากการวิจัยและนวัตกรรม จึงได้ทุ่มเทกับการวิจัยและนวัตกรรม (R&I) อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เห็นได้จากการลงทุนมากกว่า 1.3 พันล้านยูโร ในปี 2024 ขับเคลื่อนโดยทีมนักวิทยาศาสตร์กว่า 4,000 คน จาก 85 สัญชาติ ที่ทำงานในศูนย์วิจัย 21 แห่ง ใน 7 ประเทศทั่วโลก ความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมยังตอกย้ำด้วยการยื่นจดสิทธิบัตรถึง 694 ฉบับ ในปีเดียว (โดยกว่าครึ่งเป็นผลงานของนักวิจัยหญิง) และการเปิดตัวสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ตลาดมากกว่า 3,600 สูตร
การวิจัยในฉบับของลอรีอัลมีหลักการที่ชัดเจน โดยเน้นมุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งใหม่ตลอด 115 ปี, ครอบคลุมความงามที่หลากหลาย, มีความรับผิดชอบ เช่น การยุติการทดลองในสัตว์ตั้งแต่ปี 1989 และเป็นผู้บุกเบิกวิธีการทดสอบที่ไม่ใช้สัตว์ เช่น เทคโนโลยีผิวหนังจำลองที่ล้ำสมัย จนพัฒนาเป็น Skin Technology by L’Oréal แพลตฟอร์ม Bioprinted Skin รุ่นใหม่ ที่จำลองความซับซ้อนของผิวหนังมนุษย์ ตั้งแต่สีผิวไปจนถึงการเกิดแผลเป็น
และยังนำความรู้นี้ไปต่อยอดเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ นอกจากนี้ลอรีอัลยังเน้นการขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์ด้วยแรงบันดาลใจจากธรรมชาติผ่าน Green Sciences หรือวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อม โดยคิดค้นส่วนผสมที่ตอบโจทย์ทั้งความยั่งยืนและประสิทธิภาพ ปัจจุบัน 66% ของส่วนผสมในสูตรผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลมาจากชีวภาพ แร่ธาตุ หรือกระบวนการหมุนเวียน ทั้งยังร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีสกัดกลิ่นหอมจากธรรมชาติอย่าง Osmobloom สุดท้ายคือการมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ด้วยการผสานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
ความทุ่มเทนี้ไม่ได้อยู่แค่ในห้องแล็บ แต่เป็นนวัตกรรมที่ผู้บริโภคสัมผัสได้จริง เช่น การค้นพบ Melasyl™ โมเลกุลเอกสิทธิ์ที่ใช้เวลาวิจัยนานถึง 18 ปี เพื่อจัดการปัญหาเม็ดสีผิวไม่สม่ำเสมอเฉพาะจุด ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่าง Mela B3 จาก La Roche-Posay และ Glycolic Bright จาก L’Oréal Paris นอกจากนี้การตระหนักถึงความหลากหลายของผู้บริโภคก็ทำให้เกิด นวัตกรรมเพื่อผมลอนโดยเฉพาะ ซึ่งได้ศึกษาลักษณะเส้นผมกว่า 2,500 คน ใน 22 ประเทศ สู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่ชื่อว่า D.E.S CURLS ที่จดสิทธิบัตร และได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Acidic Bonding Curls ทรีทเมนต์เชื่อมพันธะแกนผม จาก Redken ที่ออกแบบมาเพื่อดูแลผมหยิกและผมลอน
จากรากฐานการวิจัยที่แข็งแกร่ง ลอรีอัล กรุ๊ปจึงก้าวสู่การเป็น "ผู้นำด้าน Beauty Tech" อย่างเต็มตัว โดยการผสานเทคโนโลยีเข้ากับความเชี่ยวชาญด้านความงาม เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เหนือกว่า ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลในยุคดิจิทัล ภายใต้วิสัยทัศน์ "ความงามเฉพาะบุคคล (beauty for each)"
เบื้องหลังความสำเร็จนี้ คือทีมผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล เทคโนโลยี กว่า 8,000 คน พร้อมฐานข้อมูลความงามที่ใหญ่ที่สุดในโลกขนาด 14,500 TB และบริการ Beauty Tech ที่ได้รับการใช้งานแล้วมากกว่า 110 ล้านครั้งทั่วโลก
ความเป็นผู้นำด้าน Beauty Tech ของลอรีอัลได้ปรากฏชัดบนเวทีระดับโลก เมื่อลอรีอัลได้จัดแสดงนวัตกรรมใหม่ๆ ในงาน Consumer Electronics Show (CES) ตั้งแต่ปี 2024 และเป็นบริษัทความงามแห่งแรกที่ได้รับเกียรติให้กล่าวบรรยายในงาน CES 2024 พร้อมโชว์นวัตกรรมล้ำๆ อย่าง AirLight Pro ไดร์เป่าผมอินฟราเรดที่ประหยัดพลังงาน ถนอมเส้นผม และช่วยให้ผมแห้งเร็วขึ้น, Beauty Genius ผู้ช่วยอัจฉริยะด้านความงาม ที่ให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้บริโภคกว่า 73% ที่ไม่รู้จะเลือกผลิตภัณฑ์ไหนดี และ HAPTA อุปกรณ์แต่งหน้า AI เครื่องแรกของโลกสำหรับผู้มีข้อจำกัดทางการเคลื่อนไหวของมือ ข้อมือ และแขน ซึ่งได้รับรางวัล TIME Best Invention 2023
นอกจากนี้ ลอรีอัลยังนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ผ่าน CreAItech ห้องแล็บที่สนับสนุนแบรนด์ในการสร้างคอนเทนต์และพัฒนาแคมเปญต่างๆ โดยมีแนวทางชัดเจนคือ หลีกเลี่ยงการใช้ภาพใบหน้า ร่างกาย เส้นผม หรือผิวหนังที่สร้างจาก AI เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ พร้อมด้วยเครื่องมือ BETiq ที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล ช่วยให้ทีมการตลาดวางแผนและจัดสรรงบประมาณได้อย่างเหมาะสม และเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และยังใช้ Data เพื่อสร้างประสบการณ์ความงามเฉพาะบุคคลที่ไม่เคยมีมาก่อน ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ผิว และเมคอัพ ผ่านบริการวิเคราะห์สภาพผิวและแนะนำรูทีนในร้านค้า ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการซื้อสูงถึง 70% และได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เทคโนโลยีอย่าง Google Maps Platform เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลสภาพแวดล้อม รังสี UV, สภาพอากาศ ต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อผิว และ Clue แอปติดตามรอบเดือน เพื่อทำความเข้าใจว่ารอบเดือนส่งผลต่อสุขภาพผิวอย่างไร
ความสำเร็จของลอรีอัล กรุ๊ปมีพื้นฐานมาจากวิทยาศาสตร์และการนำเทคโนโลยี Beauty Tech มาปรับใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การลงทุนใน R&I ช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ และนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อมอบประสบการณ์ความงามที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลได้ดียิ่งขึ้น สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทในการ 'สร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก' (Create the beauty that moves the world)
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด