
การมาเยือนไทยของ Marc Manara, Head of Startups จาก OpenAI ในงาน OpenAI x SCB 10X: From API to Impact ถือว่าเป็นหมุดหมายสำคัญที่จะทำให้เราได้เข้าใจถึงวิธีคิด และกลยุทธ์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ระดับโลก
Techsauce ได้มีโอกาสพูดคุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อถอดรหัสเคล็ดลับตั้งแต่มุมมองการแบ่งประเภทสตาร์ทอัพ ทักษะที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงวิสัยทัศน์ส่วนตัวของเขาต่ออุตสาหกรรมแห่งอนาคต

Marc เริ่มต้นด้วยการเล่าถึงถึงภารกิจหลักของ OpenAI นั่นก็คือการทำให้แน่ใจว่าปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ทีมของเขาก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน โดยมองว่าสตาร์ทอัพคือส่วนสำคัญของภารกิจนี้ เนื่องจากสตาร์ทอัพจะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์บน AI ได้มากกว่าที่ OpenAI จะสร้างเองได้
ดังนั้นเป้าหมายของทีมของ Marc คือการเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีที่สุดให้กับ AI Startup ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้น (pre-seed, seed, Series A) หรือสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยสร้างวงจรการทำงานที่เรียกว่า ‘Flywheel’ คือการทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อรับฟีดแบ็กจากสตาร์ทอัพ นำข้อมูลนั้นกลับไปพัฒนาโมเดลให้ดีขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดก็จะกลับมาเป็นประโยชน์ต่อตัวสตาร์ทอัพ และผู้ใช้งานทุกคน
เมื่อพูดถึงสตาร์ทอัพ AI Marc ได้แบ่งสตาร์ทอัพกลุ่มนี้ออกเป็น 2 ประเภท เพื่อให้สตาร์ทอัพเข้าใจว่าคุณคือสตาร์ทอัพประเภทใด
1. AI Native - สตาร์ทอัพที่ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดมี AI เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน โดยทีมของเขาจะใช้เวลาในกลุ่มนี้มากที่สุด เพราะเป็นกลุ่มผู้ใช้งานที่ซับซ้อน และให้ฟีดแบ็กที่ดีที่สุดในการพัฒนาโมเดล
2. AI Supported - สตาร์ทอัพทั่วไปที่ไม่ได้มี AI เป็นแกนหลัก แต่เริ่มนำ AI มาใช้เป็นฟีเจอร์ในผลิตภัณฑ์ หรือใช้เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ

แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่ Marc ยังคงย้ำว่า พื้นฐานการทำสตาร์ทอัพให้ประสบความสำเร็จยังคงเหมือนเดิมนั่นก็คือ ‘การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ผู้ใช้รักจริง’ ควบคู่ไปกับความเร็วในการปรับตัว และรับฟังฟีดแบ็กจากลูกค้า แต่สิ่งที่ AI เข้ามาเปลี่ยนเกมสตาร์ทอัพอย่างสิ้นเชิงนั่นก็คือ ‘ขนาดของทีม’
AI ทำให้ทีมขนาดเล็กมากๆ สามารถขยายธุรกิจและเข้าถึงผู้ใช้งานทั่วโลกได้รวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา
Marc เล่าว่าเขาได้เห็นสตาร์ทอัพที่ทีมงานไม่กี่คน แต่สามารถสร้างโปรดักต์ที่คนทั้งโลกพูดถึง และมีรายได้มหาศาล เพราะพวกเขาสร้างธุรกิจมาเพื่อสเกลระดับโลกตั้งแต่วันแรกโดยใช้ AI เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
นอกจากนี้ AI ยังช่วยให้บริษัทสามารถมี ‘ขนาดเล็กอยู่เสมอ’ ได้ แทนที่จะต้องเพิ่มจำนวนคนตามการเติบโตของธุรกิจ พวกเขาสามรถใช้เครื่องมือ AI ในการทำงานส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่การเขียนโค้ด การสรุปประชุม ไปจนถึงการทำ Customer Service อัตโนมัติ ทำให้ทีมยังคงความคล่องตัวและเคลื่อนที่ได้เร็ว
Marc ได้ยกตัวอย่างสตาร์ทอัพที่มีทีมงานไม่กี่คน เช่น Genspark หรือ Manus รวมถึง Cursor และ Lovable ที่มีทีมขนาดเล็ก แต่สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั่วโลก และมีรายได้สูงถึง 100-200 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ARR) ซึ่งเป็นเพราะพวกเขาใช้เทคโนโลยี AI และสร้างธุรกิจให้สามารถขยายตัวไปทั่วโลกได้ตั้งแต่วันแรก นอกจากนี้ สตาร์ทอัพกลุ่มนี้ยังเป็นผู้ทดสอบกลุ่มแรกๆ ที่ได้ร่วมมือกับ OpenAI ในการพัฒนา GPT-5
และเสียงตอบรับจากสตาร์ทอัพกลุ่มนี้ต่อ GPT-5 นั้น ถือว่าน่าประทับใจอย่างมาก
Cursor ยกให้ GPT-5 เป็นโมเดลที่ฉลาดที่สุดเท่าที่เคยใช้มา และฉลาดอย่างน่าทึ่ง ควบคุมง่าย และยังมีบุคลิกในแบบที่ไม่เคยเห็นในโมเดลอื่น
Windsurf ระบุว่า GPT-5 เป็นโมเดลที่ดีที่สุดในการทดสอบภายใน และมีอัตราความผิดพลาดในการเรียกใช้เครื่องมือน้อยกว่าโมเดลระดับเรือธงอื่นๆ ถึงครึ่งหนึ่ง
Vercel บอกว่า GPT-5 คือโมเดล AI สำหรับงาน frontend ที่ดีที่สุด โดยมีประสิทธิภาพสูงสุดทั้งในด้านความสวยงาม และคุณภาพของโค้ด

เมื่อถามถึงความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุดในหมู่ AI Startup คำตอบของ Marc นั้นน่าสนใจมาก
AI ทำให้การสร้างต้นแบบที่ดูเหมือนจะใช้งานได้นั้นง่ายและเร็วมาก แต่การเปลี่ยนจากเดโมไปสู่ผลิตภัณฑ์ระดับโปรดักชันที่พร้อมให้บริการจริง นั้นยากกว่าที่คิด
Marc ชี้ว่านี่คือช่องว่างที่สตาร์ทอัพจำนวนมากต้องเผชิญ เพราะเมื่อนำผลิตภัณฑ์ไปให้ผู้ใช้จริง ผลลัพธ์ในบางครั้งอาจทำงานผิดพลาดได้ โดยเขาเน้นย้ำว่า ทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับสตาร์ทอัพที่สร้างด้วย AI คือ การทำ Evals หรือ Evaluation
Evals คือกระบวนการสร้างชุดทดสอบเพื่อวัดประสิทธิภาพของโมเดลในบริบทต่างๆ อย่างเป็นระบบ เหมือนกับการเขียนเทสต์สำหรับโค้ด เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อมีการปรับ Prompt หรือเปลี่ยนไปใช้โมเดลเวอร์ชันใหม่ ผลลัพธ์ที่ได้จะยังคงถูกต้องและเป็นไปตามที่คาดหวัง การมีวงจรการพัฒนาที่ยึด Evals เป็นแกนกลาง จะช่วยให้สตาร์ทอัพปรับปรุงโปรดักต์ได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจ
Marc ยกตัวอย่าง Decagon เป็นบริษัทที่ใช้ Evals ได้อย่างน่าประทับใจมาก เมื่อ OpenAI ปล่อยโมเดลใหม่ๆ พวกเขาสามารถนำไปรันผ่านชุดทดสอบ Evals ทั้งหมดได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง เพื่อประเมินประสิทธิภาพของโมเดลและนำไปปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ของตัวเองได้ทันที

เมื่อถูกถามถึงเทรนด์ Solo Entrepreneur หรือผู้ประกอบการคนเดียวที่ใช้ AI สร้างธุรกิจ Marc ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจโดยอ้างอิงความเชื่อของ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI
Sam เคยบอกว่า เขาเชื่อว่าในชั่วชีวิตของเรา จะได้เห็นบริษัทยูนิคอร์นมูลค่าพันล้านเหรียญที่มีผู้ก่อตั้งคนเดียว
Marc ยอมรับว่า ตอนนี้เราอาจจะยังไม่ไปถึงจุดนั้น แต่เมื่อโมเดล AI และเครื่องมือต่างๆ เก่งขึ้นเรื่อยๆ เราก็กำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้น สิ่งที่น่าตื่นเต้นในปัจจุบันคือการที่ทีมขนาดเล็กสามารถทำอะไรได้มากมาย และสตาร์ทอัพจำนวนมากที่ OpenAI ทำงานด้วยก็ตั้งใจที่จะรักษาขนาดทีมให้เล็กเอาไว้ให้นานที่สุด แม้จะมีรายได้และเงินทุนแล้วก็ตาม เพื่อรักษาความคล่องตัว
"พวกเขาทำได้อย่างไรน่ะหรือ? ก็ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI ทุกรูปแบบเข้ามาช่วยบริหารจัดการบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น" Marc กล่าวสรุป
ผมประทับใจเสมอว่าทีมขนาดเล็กที่ทุ่มเทและทำงานหนัก สามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ และวันนี้มันเป็นไปได้แล้วที่จะสร้างสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จระดับโลกได้จากทุกที่จริงๆ ผมอยากให้กำลังใจคนที่กำลังคิดจะเริ่มต้นสร้างอะไรบางอย่าง จงลงมือทำเลย เรียนรู้และปรับปรุงให้เร็ว และหวังว่าทีมของผมจะได้มีส่วนช่วยในเส้นทางนั้น
และเมื่อถามว่าหากจะสร้างสตาร์ทอัพของตัวเอง เขาจะเลือกทำอะไร Marc ตอบโดยไม่ลังเลว่าสนใจในด้านอุตสาหกรรมการศึกษา
ผมตื่นเต้นกับแนวคิดของการมีติวเตอร์ส่วนตัวในทุกๆ สิ่งที่คุณอยากเรียนรู้ การทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนการสอนที่ยอดเยี่ยมได้เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก
จากการพูดคุยกับ Marc Manara ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า โอกาสในการใช้ AI เพื่อสร้างสตาร์ทอัพ รวมถึงการสร้างความเปลี่ยนแปลงนั้นยังเปิดกว้างสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลกก็ตาม และสำหรับประเทศไทย การมาถึงของเทคโนโลยีระดับนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สตาร์ทอัพไทย สามารถก้าวกระโดดสู่เวทีโลกได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด