คุณไมเคิล พาร์ค หุ้นส่วนอาวุโสจาก McKinsey & Company เป็นอีกหนึ่ง Speaker ที่ขึ้นกล่าวบนเวที CP Innovation Exposition & Symposium 2025 โดยคุณไมเคิลนำเสนอประเด็น 'The Next Big Arenas of Competition' สนามแข่งขันของบิ๊กเทคในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต วิเคราะห์อุตสาหกรรมและแบรนด์ต่างๆ รวมถึงโอกาสในการมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของเอเชีย-อาเซียน-ไทย ในอนาคต
Michael Park, Senior Partners (Singapore), McKinsey & Company
คุณไมเคิลพาไปดู 'มูลค่าธุรกิจ' ที่เปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเทียบปี 2005 กับ 2025 โดยภาพแรกเป็นการเปรียบเทียบ 10 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ณ ปี 2005 กับปี 2025 ซึ่งมี GE อยู่บนสุดด้วยมูลค่าธุรกิจ ณ ปี 2005 สูงสุดที่ 370 พันล้านดอลลาร์ มาในปี 2025 ไม่มีชื่อ GE ติดอยู่ใน Top 10 แล้ว แต่ปรากฏชื่อ Apple ขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่ง ด้วยมูลค่าธุรกิจ 3,541 พันล้านดอลลาร์
ที่น่าสนใจคือ มีเพียงบริษัทเดียวที่ยังมีชื่ออยู่ใน Top 10 นั่นคือ Microsoft บริษัทเทคที่มีมูลค่าธุรกิจ 278 พันล้านดอลลาร์ ณ ปี 2005 และเพิ่มขึ้นเป็น 2,981 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2025 นั่นหมายความว่า อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่าในช่วงเวลา 20 ปี แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจและการสร้างมูลค่าจากเทคโนโลยีและนวัตกรรม

บริษัทที่อยู่ใน Top 10 ของปี 2025 ล้วนเป็นบริษัทเทคที่อยู่ใน สนามแห่งการแข่งขัน (Arenas of Competition) ที่มีพลวัตสูงมาก ทั้งยังมีการใช้งบด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) และการใช้เงินลงทุน (Capital Spending) เพิ่มขึ้นสูงมาก กล่าวคือ
คุณไมเคิลบอกว่า บริษัทเทครายใหญ่ที่มีการลงทุนด้าน R&D สูงสุดในปี 2024 คือ Amazon ตามมาด้วย Alphabet, Meta, Microsoft, Apple และ TSMC ซึ่งถ้ารวมการลงทุนด้าน R&D ของ 6 บริษัทนี้แล้ว มูลค่ามากกว่า 500 พันล้านดอลลาร์! อย่างไรก็ดี การทุ่มงบมหาศาลของบริษัทเทคเหล่านี้ก็เพื่อพัฒนานวัตกรรมและรักษาความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจแข็งแกร่งขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น และทำกำไรได้มากยิ่งขึ้น
จากการวิเคราะห์การลงทุน แนวโน้มประชากร และความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ McKinsey คาดการณ์ว่า สนามแข่งหลักในอุตสาหกรรมต่างๆ ในปี 2040 หรืออีกราว 15 ปีข้างหน้า จะแบ่งได้เป็น 6 สนาม ดังนี้

คุณไมเคิลเสริมว่า McKinsey คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จะทำรายได้ประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์อีก 15 ปีข้างหน้า ส่วน e-Commerce, โฆษณาดิจิทัล, วิดีโอเกม, วิดีโอสตรีมมิง ดีที่สุดที่คาดการณ์ได้ คือ มีรายได้รวมกันที่ 10 ล้านล้านดอลลาร์ และทำให้ภูมิภาคเอเชียมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในเวทีโลก

มาดูที่เอเชีย คุณไมเคิลเทียบ Top 10 ธุรกิจที่มีมูลค่ามากที่สุดในปี 2005 คือ Singtel (26 พันล้านดอลลาร์) ส่วนปี 2025 คือ DBS (94 พันล้านดอลลาร์) และตอกย้ำว่า ทั้งสองบริษัทมีชื่อติด Top 10 แม้เวลาจะผ่านมา 20 ปี
และหากมองเฉพาะภาพอาเซียน อาเซียนมีบทบาทมากในอุตสาหกรรมยา เซมิคอนดักเตอร์ และสื่อ ตามมาด้วยกลุ่มเคมีภัณฑ์ การเกษตร และวัสดุพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม อาเซียนก็ยังไม่ได้เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมที่อยู่ใน 6 สนามแข่งข้างต้น แต่ก็มีบริษัทที่โดดเด่นและอยู่ในสนามแข่ง ณ ปัจจุบัน นั่นคือ Sea และ Trip.com
คุณไมเคิลระบุตัวเลขคาดการณ์มูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรมต่างๆ จากสนามแข่งทั้ง 6 ในอีก 15 ปีข้างหน้า ว่าจะอยู่ที่ 40-50 ล้านล้านดอลลาร์ โดย 13-20 ล้านล้านดอลลาร์ จะมาจากอาเซียน
สัมพันธ์กับการย้ายฐานการผลิตของสหรัฐอเมริกาและจีน อาเซียนมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงและมีมูลค่าสูง แต่น้อยกว่าในตลาดโลก โดยมีสัดส่วนการลงทุนด้านนวัตกรรมทั่วโลกเพียง 2% แต่เนื่องจากอาเซียนมีจุดแข็งด้าน โลเคชัน ที่เหมาะต่อการส่งออกสินค้า อาทิ สินค้าในระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV), e-Commerce, โฆษณาดิจิทัล จึงมีช่องทางที่อาเซียนและไทยจะบุกเข้าสนามแข่งได้
จากภาพจะเห็นว่า ไทยและอาเซียนมีอัตราการเติบโตด้านการส่งออกอย่างต่อเนื่องในสินค้า 3 กลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2023 ที่มูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2005 และ 2015 อย่างมีนัยสำคัญ
คุณไมเคิลเปิดข้อมูลส่งออกสินค้าจากไทยและอาเซียน 3 กลุ่มหลักไปยังทั่วโลกให้เห็นชัดๆ ว่ามี อุปกรณ์ขนส่ง (Transportation Equipment), สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในภาคอุตสาหกรรม (Industrial Electronics), และ เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductors) ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกระหว่างไทยกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ณ ปี 2005, 2015 และ 2023 จะเห็นว่า เซมิคอนดักเตอร์ เป็นสินค้าส่งออกที่สร้างมูลค่ามากที่สุด
โดยสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก ดูได้จากปี 2005 ที่ไทยส่งออกเซมิคอนดักเตอร์คิดเป็นมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นเป็น 12 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 ขณะที่การส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเติบโตจาก 63 พันล้านดอลลาร์ในปี 2005 เป็น 241 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2023
"ผมชื่นชมที่เครือซีพีจัดงาน CP Innovation Exposition & Symposium 2025 ขึ้นมา เพราะตลาดนี้อยู่ในพื้นที่ของคุณ อยู่ในตลาดบ้านเกิดของคุณ และถ้าเจาะลึกลงไปในตลาดนี้ มีบางตลาดเป็นสนามแข่งขันที่ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในอาเซียน มีความสามารถในการแข่งขันสูงและอยู่ในจุดที่แข็งแกร่ง"
คุณไมเคิลกล่าว และตอกย้ำว่า มีหลายอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่อาเซียนสามารถคว้าโอกาสเติบโตได้ในอนาคต อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่, เซมิคอนดักเตอร์, เทคโนโลยีชีวภาพสำหรับผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรม, e-Commerce, นวัตกรรมขับเคลื่อนในอากาศ, อวกาศ ต่อด้วยการจัดกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ในมุมของ McKinsey โดยแบ่งเป็น 3 โซนที่ประเทศไทยและเครือซีพีเหมาะจะลงทุน ซึ่ง McKinsey พิจารณาจากความใกล้เคียง/สอดคล้องกับธุรกิจหลักของอาเซียนตามลำดับ ดังนี้
ในภาพจะเห็นว่า เทคโนโลยีชีวภาพสำหรับผู้บริโภคและอุตสาหกรรม มีแบรนด์ไทยอย่าง Betagro และ CPF รวมอยู่ด้วย
คุณไมเคิลกล่าวถึงเครือซีพีว่า ไม่ใช่แค่เข้าร่วมในสนามแข่ง แต่ต้องลงแข่งในสนามเพื่อสร้าง ความได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรม (Unfair Advantages) เหนือคู่แข่ง หากอยากเติบโตในตลาดขนาดใหญ่
"เพื่อคว้าชัยชนะในสนามแข่ง คุณจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าคู่แข่งได้อย่างไร คุณจะลงทุนอย่างไร สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ ให้เปลี่ยน 'โอกาส' เป็น 'Unfair Advantages' เพราะเราพูดถึงการแข่งขันกันมามาก และการแข่งขันก็ไม่ใช่การต่อสู้ที่ยุติธรรม ถูกไหม แต่การแข่งขัน คือการสร้างความได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรม หมายถึงว่า คุณจะสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ลูกค้าชื่นชอบแม้ว่าราคาจะเท่ากับของคนอื่นหรือมีราคาพรีเมียมได้อย่างไร ลูกค้าจะยังคงซื้อบริการ หรือผลิตภัณฑ์ หรือแบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับการยกย่อง จนมีความภักดีต่อสิ่งที่คุณมอบให้ได้อย่างไร

"ดังนั้น สิ่งที่ผมท้าทายคุณคือ คุณจะมุ่งมั่นลงทุนและเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ อย่างไร เพื่อให้คุณมีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่ง และสามารถครองตลาดได้อย่างแท้จริง เพราะเมื่อคุณพูดคุยกับใครก็ตามเกี่ยวกับนวัตกรรม พวกเขามักจะพูดแบบเดียวกันคือ จะลงทุนใน AI จะลงทุนใน Digital Payment จะลงทุนใน Pharma คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า คุณเต็มใจที่จะเข้าร่วมการแข่งขันไหม แต่คือ คุณจะจริงจังกับการแข่งขันแค่ไหน แรงผลักดันอยู่ตรงนี้"
นอกจากนี้ คุณไมเคิลยังฝากถึงองค์กรและนวัตกรว่า ต้องมองโลกในแง่ดีและลงมือทำซ้ำๆ อย่างกรณีของเครือซีพี องค์กรขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรมาก มีความสามารถที่จะทดลองผลิตภัณฑ์ในวงกว้าง รวมถึงสามารถล้มเหลวและทดลองใหม่ได้ ด้วยวิสัยทัศน์ของการมองโลกในแง่ดี เห็นโอกาสอยู่ข้างหน้า แล้วลงมือทำซ้ำๆ เพื่อทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ได้สำเร็จ
"เพราะความล้มเหลวจะเกิดขึ้นระหว่างทางเสมอ สิ่งสุดท้ายที่จะกล่าวถึงเป็นหนึ่งในคำคมที่ผมชอบมากที่สุดซึ่งผมคิดว่ามันสำคัญสำหรับนวัตกร คือ 'Pessimists sound smart, optimists make money.' พวกมองโลกในแง่ร้ายมักพูดอะไรที่ดูฉลาด แต่พวกมองโลกในแง่ดีสิ ที่ทำเงินได้จริง สำหรับผม นวัตกรที่ดีที่สุดคือพวกมองโลกในแง่ดี สำหรับเครือซีพี ผมหวังว่าพวกคุณจะสร้างรายได้มหาศาล ผมหวังว่าคุณจะลงทุนครั้งใหญ่ในสิ่งที่กล่าวมานี้ และจำไว้ว่า หลายอย่างอาจต้องทำซ้ำๆ แต่ที่สำคัญคือ คุณจะใช้ประโยชน์จากขนาด ทรัพยากร และจิตวิญญาณที่มีอยู่นั้นอย่างไร"
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด