ปี 2025 ดูเหมือนจะเป็นปีที่ NVIDIA ยืนหนึ่งแบบไม่มีใครเทียบได้อีกแล้ว จากบริษัทที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงผู้ผลิตการ์ดจอเล่นเกม วันนี้กลับกลายเป็นหัวใจสำคัญของโลก AI ที่ทั้งบริษัทเทคยักษ์, ประเทศทรงอิทธิพล และอุตสาหกรรมแทบทุกประเภทต้องเข้าคิวรอใช้เทคโนโลยีของเขา
และเมื่อเราย้อนกลับไปดูภาพรวมของดีลที่เกิดขึ้นในปีนี้ สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดมากคือ NVIDIA ไม่ได้กำลังขายชิป แต่กำลังสร้างระบบนิเวศครอบจักรวาล ที่ทุกคนต้องยืนบนพื้นที่ของเขา
บทความนี้ Techsauce จะพาทุกคนไปไล่ดูว่า NVIDIA กำลังทำอะไรอยู่ ครองกี่วงการแล้ว และขาดอะไรในมือที่จะทำให้จักรวรรดินี้เสร็จสมบูรณ์แบบเสียที

หลายคนยังเข้าใจว่า NVIDIA คือบริษัทขายชิป หรือขายการ์ดจอ แต่ถ้ามองลึกลงไปในปี 2025 จะเห็นว่าธุรกิจที่ NVIDIAกำลังสร้าง ไม่ใช่ธุรกิจฮาร์ดแวร์ แต่เป็นระบบนิเวศ
ทุกสิ่งที่ NVIDIA ทำตั้งแต่ CUDA, แพลตฟอร์ม NVIDIA AI Enterprise, ระบบ DGX Cloud ไปจนถึงแพลตฟอร์มหุ่นยนต์อย่าง Isaac หรือโลกจำลองอย่าง Omniverse ล้วนทำงานร่วมกันเป็นก้อนเดียวแบบไร้รอยต่อ จนทำให้ใครที่เริ่มใช้แพลตฟอร์มของ NVIDIA ไปแล้ว แทบจะไม่มีทางย้ายออกได้ง่าย ๆ อีกเลย
นี่ไม่ใช่การผูกขาดแบบออกอาวุธใส่คู่แข่ง แต่มันคือการสร้างพื้นที่ให้ทุกคนมาตั้งรกราก จนในที่สุดทุกคนต้องพึ่ง NVIDIA ในการขับเคลื่อน AI ของตัวเอง
สิ่งที่น่าสนใจคือ ดีลสำคัญในปีนี้ไม่ใช่ดีลเดียวใหญ่ ๆ แบบยุคก่อน แต่เป็นดีลจำนวนมากที่กระจายไปตามอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งรวมกันแล้วทำให้ NVIDIA แผ่รากไปทั่วแทบทุกโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI ตั้งแต่การสื่อสาร พลังงาน รถยนต์ ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานระดับประเทศ อาทิ

ดีลที่โดดเด่นที่สุดในปี 2025 คือการที่ Nvidia เข้าถือหุ้นมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ใน Synopsys นี่ไม่ใช่ดีลธรรมดา แต่เป็นการล็อกอนาคตของการออกแบบชิป เพราะ Synopsys คือผู้นำตลาดซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) ที่แทบทุกบริษัท semicon ต้องใช้
ดังนั้น Nvidia จะสามารถเชื่อมต่อแพลตฟอร์ม AI + ชิปของตัวเอง เข้ากับเครื่องมือสร้างชิปของ Synopsys ทำให้ ecosystem การออกแบบชิประดับโลกหมุนรอบ NVIDIA GPU เป็นการวางหมุดลึกในระบบ supply chain ชิปทั้งอุตสาหกรรม
ปีนี้มีอีกหนึ่งข่าวใหญ่คือ Nvidia อยู่ระหว่างการทำแผนดีลร่วมลงทุนมูลค่าสูงสุดถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กับ OpenAI แม้ยังไม่ปิดดีล แต่ก็ถือว่าเป็นทิศทางสำคัญที่สุดดีลหนึ่งในปีนี้ เพราะสิ่งที่ประกาศออกมาตอนนี้ คือ แผนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลกร่วมกัน ซึ่งจะผูก Nvidia กับ OpenAI แบบ ecosystem ต่อ ecosystem และเป็นดีลที่บ่งบอกว่าอนาคตของโมเดลระดับ GPT จะยังวิ่งอยู่บน GPU ของ Nvidia แน่นอน
นี่คือหนึ่งในดีลที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย และเป็นจุดที่ทำให้หลายคนมองว่า Nvidia กำลังสร้างอาณาจักรโครงสร้างพื้นฐาน AI ของโลกจริง ๆ
ดีลที่ช็อกทั้งวงการ เพราะคู่แข่งกันมาตลอด แต่ปีนี้ Nvidia หันไปซื้อหุ้น Intel มูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเป้าหมายจริงคือการสร้างพันธมิตร CPU เพราะในโลก AI workload ใหม่ ๆ ต้องการระบบ CPU + GPU ทำงานร่วมกันอย่างลื่นไหล ดีลนี้ทำให้ Intel ได้แรงหนุนจาก GPU เบอร์หนึ่งของโลก และทาง Nvidia ก็ได้พาร์ตเนอร์ CPU ที่แข็งแกร่งเพื่อสร้าง AI PC, AI Server และ Data Center รุ่นถัดไป
นี่คือ alliance ที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิด แต่วันนี้มันเกิดแล้ว
Nvidia ไม่ได้เล่นอยู่แค่ data center อีกต่อไป เพราะปีนี้บริษัทกระโดดเข้าไปใน อุตสาหกรรมโทรคมนาคม เต็มตัว Nvidia ลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์ ใน Nokia และจับมือร่วมกันพัฒนา AI-RAN (เครือข่ายมือถือที่ใช้ AI), ระบบสื่อสาร 5G / 6G, โครงสร้างของเครือข่าย data center,
ดีลนี้สำคัญมากเพราะมันเชื่อม 2 โลกเข้าด้วยกัน คือ data center เข้าหาเครือข่ายโทรคมนาคม ต่อไปนี้ Nvidia จึงไม่ได้ครองแค่คอมพิวเตอร์ในศูนย์ข้อมูลอีกต่อไป แต่เริ่มครองเครือข่ายที่เชื่อมศูนย์ข้อมูลของโลกเข้าหากัน
นอกจากดีลเหล่านี้ อีกภาพหนึ่งที่เห็นเด่นชัดในปี 2025 คือ Nvidia ไม่ได้ดีลกับบริษัทเท่านั้น แต่เริ่มดีลกับรัฐบาลอย่างเป็นทางการ
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า Nvidia ค่อย ๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ ซึ่งเป็นระดับที่มีเพียงไม่กี่บริษัทในโลกที่ทำได้
ที่กล่าวมาด้านบนคือดีลใหญ่ที่ถูกประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ความจริงคือยังมีอีกหลายความร่วมมือที่อยู่ในหมวด ecosystem ซึ่งไม่เปิดตัวเลขหรือรายละเอียดเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานร่วมกับ SAP, WPP, กลุ่มบริษัทด้านการแพทย์ ไบโอเทค หรือโครงการที่ทำร่วมกับ Palantir และผู้ให้บริการพลังงานในการเร่งสร้าง data center
รวมถึงการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในสตาร์ทอัพด้านเสียง–มัลติมีเดียอย่าง ElevenLabs และโปรเจ็กต์ที่เกี่ยวข้องกับการทดลอง AI ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อีกหลาย 10 เคส ทั้งหมดนี้คือชิ้นส่วนที่ต่อกันอยู่ใต้ผิวน้ำ ซึ่งช่วยขยับเข็มนาฬิกาการครอบครอง ecosystem ของ Nvidia ให้เร็วกว่าเดิมมาก

แม้ปี 2025 จะเป็นปีที่ NVIDIA เดินเกมรุกทุกทิศ จับมือกับบริษัทข้ามอุตสาหกรรมและรัฐบาลหลายประเทศ จนแทบจะนั่งอยู่กลางโต๊ะของทุกวงการที่เกี่ยวกับ AI แต่หากมองให้ลึกลงไป อาณาจักรนี้ยังไม่ใช่ภาพที่ปิดเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะยังมีช่องโหว่เชิงโครงสร้างบางอย่างที่ NVIDIA ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด
โดยภาพรวม ช่องโหว่หลักของ NVIDIA ในวันนี้สามารถสรุปได้เป็น 2 เรื่องใหญ่ ได้แก่
จุดอ่อนข้อแรกและสำคัญที่สุดคือ NVIDIA ไม่มีโรงงานผลิตชิปของตัวเอง แม้บริษัทจะเป็นผู้ออกแบบชิปที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก แต่กระบวนการผลิตขั้นสูงทั้งหมดต้องพึ่งพา TSMC แทบจะ 100% ตลอดหลายปีที่ผ่านมา TSMC คือพันธมิตรที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้ แต่การพึ่งพาผู้อื่นในเรื่องการผลิตคือความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่เลี่ยงไม่ได้
หากเกิดปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดในภูมิภาค หรือเหตุการณ์ที่กระทบต่อซัพพลายเชนของ TSMC ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม NVIDIA จะได้รับผลกระทบแทบจะทันที ต่อให้เทคโนโลยี GPU จะล้ำหน้าเพียงใด การไม่สามารถควบคุมกระบวนการผลิตเองได้เต็มที่ก็ยังคงเป็นจุดที่บริษัทอ่อนแอที่สุดในเชิงยุทธศาสตร์
ข้อสุดท้ายที่เริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ คือ ลูกค้ารายใหญ่กำลังพยายามสร้างชิปของตัวเองเพื่อลดการพึ่งพา NVIDIA ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ AWS กับชิป Trainium และ Inferentia หรือ Google กับ TPU ของตัวเอง แม้ในปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถทดแทน GPU ของ NVIDIA ได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งในแง่สมรรถนะ ความยืดหยุ่น และ ecosystem อย่าง CUDA ที่ล็อกผู้ใช้งานไว้อย่างแน่นหนา
แต่ในโลกเทคโนโลยี คำว่ายังทำไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำไม่ได้ตลอดไป หากวันหนึ่งเกิดสถาปัตยกรรมใหม่ที่สามารถให้ประสิทธิภาพใกล้เคียง GPU หรือมีซอฟต์แวร์ที่ลดการพึ่งพา CUDA ได้จริง นั่นจะกลายเป็นแรงกดดันที่เปลี่ยนสมดุลของอุตสาหกรรมทันที
ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่า ต่อให้ NVIDIA จะยิ่งใหญ่เพียงใด อาณาจักรที่สร้างขึ้นอย่างงดงามในปี 2025 ก็ยังมีรอยต่อบางจุดที่ต้องอุดและต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด อนาคตของ NVIDIA จึงไม่ใช่แค่การขยายอาณาจักรออกไปอีก แต่คือการรักษาความได้เปรียบเชิงโครงสร้างเหล่านี้ไม่ให้กลายเป็นจุดที่อำนาจค่อย ๆ ไหลกลับไปอยู่ในมือของผู้อื่น
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด