บทสัมภาษณ์สุด Exclusive กับคุณพอล ภัทรพล ศิลปาจารย์ จากนักแสดงชื่อดัง สู่นักธุรกิจ นักลงทุนเน้นคุณค่า และล่าสุดกับการปรากฏตัวในบทบาท angel investor ใน STYLHUNT
เชื่อว่าทั้งคนบันเทิง คน Startup และคนทั่วๆไปคงอยากทราบที่มาที่ไปของเรื่องราวเหล่านี้ เรามาร่วมพูดคุยกับคุณพอลถึงการพลิกบทบาทในครั้งนี้กันดีกว่าค่ะ
ความจริงต้องบอกว่า ผมเกษียณตั้งแต่ตอนอายุ 35 แล้ว (ตอนนี้ผมอายุ 37 ครับ) เนื่องจากทุกวันนี้ผมมีเงินปันผลจากหุ้น จากอสังหาที่เป็นค่าเช่าที่ เป็นรายได้แบบ passive income จากทรัพย์สินที่เก็บสะสมมาตั้งแต่สมัยที่ยังทำงานครับ
กลับมาคำถามที่ว่าแล้วช่วงนี้ผมทำอะไรอยู่บ้าง หลักๆก็คงจะเป็น
ส่วนงานในวงการบันเทิงอย่างการเป็นพิธีกรหรือนักแสดง ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้วครับ
อย่างที่คนส่วนใหญ่ทราบผมทำงานในวงการบันเทิงมาก่อน เป็นทั้งนักแสดงและพิธีกร เป็นงานที่ดี แต่ผมก็ทราบดีว่างานที่ผมทำอยู่ เป็นการทำงานแบบหนึ่งต่อหนึ่ง หมายความว่าผมเอาแรงเอาเวลาไปแลกเงิน คือฉันต้องไป ถ้าฉันไม่ได้ไปฉันไม่ได้เงิน ถ้าฉันหยุด เงินก็หยุด เมื่อตระหนักได้ผมก็เลยเปลี่ยนงาน เปลี่ยนมาเป็นงาน หา"ห่านทองคำ" ที่ออกไข่มาเป็น"ไข่ทองคำ" คือการลงทุนครั้งเดียวแล้วเก็
ผมลงทุนในตลาดหลักทรัพย์บ้าง ในอสังหาริมทรัพย์บ้าง หรือแม้กระทั่งการเขียนหนังสือซึ่งมันก็เป็นห่านเหมือนกัน แถมยังได้ใช้ความรู้ใช้ปัญญาด้วย
ส่วนเรื่องการลงทุนในธุรกิจ ผมก็มีลงทุนทั้งในธุรกิจที่สร้างเงิน อย่าง STYLHUNT ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง และในธุรกิจที่ไม่ได้สร้างเงินด้วย เช่นหนังสารคดีที่เพื่อนผมทำ คือผมไม่ได้ลงในธุรกิจสารคดีนี้เพราะหวังผลตอบแทน แต่คิดว่ามันเป็นสารคดีที่จะสร้างความแตกต่างให้กับประเทศไทย กับอีกอย่างคือเรื่องการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการศึกษาของเยาวชนครับ
ผมเชื่อว่าธุรกิจ Startup นี่แหละคือโอกาสใหม่ของประเทศไทย ผมคิดว่าประเทศไทยควรเปลี่ยนจากการเกษตร หรือการรับจ้างผลิต ที่เป็นการแข่งกันแต่ที่ค่าแรงมาทำอย่างอื่น เพราะพอประเทศอื่นค่าแรงถูกกว่า อย่างเช่น จีน เวียดนาม เราก็จะต่อสู้กับเขาไม่ได้ เราน่าจะปรับสู่ทิศทางใหม่ สร้างงาน สร้างคน ที่สามารถต่อสู้กับเวทีโลกได้ ซึ่งผมคิดว่า Tech Startup เป็นธุรกิจที่แฟร์ เพราะใครๆก็ต้องเริ่ม develop จากศูนย์เหมือนกัน และไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ เป็นการแข่งขันกันที่ปัญญา เรื่องเงินทุนก็สามารถหาได้มากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่ง STYLHUNT เป็นตัวอย่างที่ดี
มองในมุมธุรกิจ ผมเข้าใจว่าก็มีความเสี่ยงนะ แต่ผลตอบแทนก็สามารถสูงมากเช่นกัน และการขยับมาลงทุนกับ Startup ด้วย ก็ช่วยให้ผมกระจายพอร์ตการลงทุนด้วย ผมชอบแนวทางของ Ashton Kutcher ครับ ผมว่าเขาฉลาด
ปกติเวลาผมจะลงทุนกับอะไรผมจะแบบสามเหลี่ยมกลับหัวก่อน คือเริ่มจากมองภาพใหญ่ก่อนนั่นก็คือตลาด STYLHUNT เกี่ยวข้องกับการช็อปปิ้งเสื้อผ้า และ e-commerce ผมว่ามันถูกเทรนด์ทั้งคู่ ถามว่าในอนาคตคนจะช็อปปิ้งน้อยลงไหม? ผมว่าไม่นะ ช็อปปิ้งคงไม่หายไปจากโลกนี้แน่ๆ ส่วนในเรื่องการซื้อของออนไลน์ เราเองก็เห็นได้ว่าสิบปีที่แล้วกับปัจจุบัน มันเปลี่ยนมาทิศทางนี้มากขนาดไหน และในสิบปีข้างหน้า ผมก็ชัวร์ว่าไปอะไรๆก็จะไปทางออนไลน์มากขึ้น แม้แต่คนที่มีชื่อเสียงอย่างดารา หรือนักกีฬา ก็เลือกที่จะทำธุรกิจและขายของกันมากขึ้น มีทั้งอาหารคลีน เวย์โปรตีน เครื่องสำอาง และอื่นๆอีกมากมาย ผมจึงมั่นใจว่าเรื่องการขายของออนไลน์เป็นอะไรที่มาจริงๆ
ต่อมาก็คือตัวบริษัท หลักการลงทุนของผมคือเหมือนผมซื้อทั้งบริษัท เหมือนผมเป็นเจ้าของ และผมต้องสามารถเห็นภาพบริษัทนี้ในอีกห้าปีสิบปีข้างหน้า และจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้รู้จักกับบริษัทก็คือคุณแซม CEO ของ STYLHUNT ผมกับแซมเรารู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว เราเรียนที่ Sasin เหมือนกันแต่อยู่คนละรุ่น แซมเป็นคนที่โดดเด่นมาก เก่ง ฉลาด และที่สำคัญคือเป็นคนดีด้วย เราก็คุยกันในหลายๆเรื่อง กีฬาบ้าง ภาพยนตร์บ้าง จนมีอยู่วันนึงผมเห็นข่าวเขาได้รางวัลการประกวด Startup ที่สิงคโปร์ ผมก็ได้นัดแซมพบปะพูดคุยกัน ได้ฟังแซมเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองทำ พอได้ฟังผมก็หลงรักในธุรกิจ ก็เลยแสดงความสนใจ อยากขอร่วมลงทุนด้วย
แต่ความจริงก่อนที่ผมจะลงเงิน ผมเองก็ต้องการจะได้รู้จักกับคนทั้งทีมก่อน สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับทีมนี้ก็คือ
สุดท้ายคือตัว Product ที่มี Solution ที่ตอบโจทย์ Pain points ทำให้ชีวิตคนดีขึ้น คนขายของที่ทำการตลาดกับ STYLHUNT จะจ่ายค่าการตลาดต่อเมื่อมี conversion เกิดขึ้นจริงเท่านั้น ผมว่าดีมาก
สรุปก็คือ ทีมดี ผลงานดี ตัวเลขดี ถูกเทรนด์ เหตุผลทั้งหมดนี้ประกอบกัน ทำให้ผมมั่นใจที่จะลงทุนด้วย
ผมลงเงินลงทุนอย่างเดียวครับ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารแต่อย่างใด แต่ในทีมก็น่ารักครับ มาพูดคุยและขอคำแนะนำจากผมอยู่บ้าง แต่ผมเองมั่นใจในตัวพวกเขาอยู่แล้ว เชื่อว่าไม่ว่าจะทำอะไรพวกเขาจะทำได้ดีแน่นอน
STYLHUNT ไม่ใช่ Tech Startup ตัวเดียวที่ผมลง มีอีกสองสามเจ้าที่กำลังคุยอยู่ มีทั้งไทยและต่างประเทศ ความจริงผมไม่ได้ประกาศตัวว่าเป็น Angel investor แต่ละที่มาจากเพื่อนๆแนะนำเข้ามาเพราะเห็นเราสนใจลงทุน หลังจากที่ Refer แนะนำมา ผมก็จะศึกษาทำความรู้จักก่อนลงทุน ในอนาคตก็คิดว่าคงจะมีเข้ามาอีกเรื่อยๆ
Industry ที่สนใจก็จะมี Finance, Wellness & Health, Beauty และ Education ครับ
สำหรับ Finance ผมมั่นใจว่าคนรุ่นใหม่สนใจเรื่องการเงินการลงทุนกันมากขึ้น เห็นได้จากงาน Money Expo ในอดีตกับปัจจุบันก็เปลี่ยนไปเยอะ จำนวนคนมางานเยอะขึ้นมาก อายุของคนที่มาก็เด็กลงเรื่อยๆ สมัยนี้คนสนใจและมีความรู้เรื่องการเงินการลงทุนกันมากขึ้น
ส่วนเรื่องสุขภาพและความงาม จะยิ่งโตขึ้นอีกในอนาคต Wellness & Health เองก็เข้ากับ Aging society หรือสังคมผู้สูงวัยที่
ผมชอบลงทุนในธุรกิจ vision ไม่ใช่ธุรกิจ fashion
Education ผมก็ว่าน่าจะไปได้ดี เพราะโลกเริ่มเข้าใจแล้วว่า การศึกษาในโรงเรียนอย่างเดียวไม่เพียงพอ
อยากฝากให้เปิดโลกทัศน์เรื่องการทำงาน ประเทศไทยน่าจะพอแล้วกับการเป็นโรงงานผลิต ยางพาราเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก คือถ้าจีนทำได้ก็จบ ด้วยเทคโนโลยีในอนาคต ประเทศอื่นเองก็คงจะสามารถปลูกข้าวได้ดี ต้องรีบปรับตั้งแต่ตอนนี้ จะได้แข็งแรงในอีก 10-20 ปีข้างหน้า
ผมคิดว่าการเรียนดีในมหาวิทยาลัย เพื่อไปทำงานประจำดีๆ มันคือแนวทางของยุคอุตสาหกรรม ซึ่งหมดยุคแล้ว เดี๋ยวนี้ใครๆก็จบตรี ใครๆก็เรียนโท เดี๋ยวเอกก็จะมีจบมากันเยอะแยะ แต่สุดท้ายก็ต้องเจอเพดานเงินกันอยู่ดี
และผมก็คิดว่างานประจำเองไม่ได้มั่นคงเสมอไป วิธีการอย่าง M&A / Take over เกิดขึ้นกับธุรกิจได้ง่ายมาก คุณสามารถตกงานได้ในวันเดียว ผมอยากแนะนำให้คนทำงานประจำคู่กับงานส่วนตัว คู่กับ SME หรือคู่กับ Startup ก็ได้ อย่างน้อยถึงจะ Fail ก็ยังได้ประสบการณ์
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด