สรุป Key Takeaways จากงาน MEGA TECH FORUM 2022 by Techsauce ในหัวข้อ Personalized Healthcare - From the Genome to the Mobile Phone กับ Farid Bidgoli, General Manager ของ Roche ประเทศไทย เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา
จะดีกว่าไหม “ถ้ามนุษย์สามารถทำการรักษาได้ตรงจุดแบบเฉพาะบุคคล” จะดีกว่าไหม “ถ้าการเข้าถึงการดูแลทางสุขภาพดีมากขึ้น” จะดีกว่าไหม “ถ้านวัตกรรมสามารถช่วยให้สุขภาพของเราดีขึ้น” และจะดีกว่าไหม “ถ้าค่าใช้จ่ายในการรักษาไม่ได้สูงจนเกินไป” หาคำตอบ และทางออกของการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ที่จะนำเอานวัตกรรมเข้ามาช่วยให้เกิดแนวทางการรักษาแบบใหม่อย่าง Personalized Healthcare
จากการศึกษาของ FutureProofing Healthcare พบว่า ประเทศไทย มีคะแนนด้านนโยบาย (Policy Context) สูงที่สุดของประเทศในอาเซียน โดยมีการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ทั้งเงินทุน กลยุทธ์และอื่น ๆ แต่ในภาพรวมแล้ว ประเทศไทยตกไปอยู่ที่อันดับที่ 7 ของการมี Personalized Healthcare เนื่องจาก ถึงแม้ว่าจะมีการออกนโยบายต่าง ๆ มาสนับสนุนมากมาย แต่ในทางปฏิบัติ ประเทศไทยยังไม่ดีพอ ยังไม่สามารถดึงเอานโยบายเหล่านั้นมาใช้ได้จริง
ต้องเริ่มต้นรู้จักกันก่อนว่า Genome หรือจีโนมนี้คืออะไร
Genome คือ สารพันธุกรรม ซึ่งรวมไปถึงดีเอ็นเอทั้งหมดที่มีอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต เป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตมีความแตกต่างกัน ซึ่งมนุษย์แต่ละคนนั้นมีความแตกต่างของจีโนมอยู่ที่ประมาณ 0.1% แต่เมื่อมองลึกไปถึงระดับ DNA จะพบว่า ความต่างของจีโนมนี้ ทำให้ DNA ของมนุษย์มีความแตกต่างกันกว่า 3 ล้านจุด และ DNA ที่แตกต่างกันนี้ทำให้มนุษย์มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละคน
ซึ่งความแตกต่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับจีโนมนี้ ถูกมองว่า เมื่อมนุษย์จำเป็นจะต้องรักษา การรักษาที่เป็นไปแบบเฉพาะบุคคล การรักษาที่เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคนจึงควรเกิดขึ้นในโลกของ Healthcare
และปัจจุบันนี้ในประเทศไทย ก็มีหน่วยงานที่ชื่อว่า Genomics Thailand เป็นหนึ่งในนโยบายของประเทศในการรวบรวม ศึกษา และวิเคราะห์ข้อมูลระดับจีโนมของคนไทย เพื่อใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการประยุกต์เพื่อหาทางรักษาผู้ป่วยแต่ละคนได้ตรงจุด
นอกจากการทำงานขององค์กรต่าง ๆ ในการทำการวิจัยเพื่อค้นหาแนวทางในการพัฒนาสู่การมี Personalized Healthcare ของแต่ละบุคคลแล้ว การพัฒนาอย่างก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างเช่น AI ก็ได้เข้ามาเป็นตัวช่วยที่ดีให้กับนักวิจัย และแพทย์ให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลออกมาได้อย่างแม่นยำ
โดย Farid Bidgoli ได้กล่าวถึง การดำเนินงานขององค์กรต่าง ๆ รวมไปถึง Roche เองในการนำเอา Data จากหลากหลายแหล่ง ทั้ง ข้อมูลจากการวินิจฉัยโรค ข้อมูลจากการทดสอบทางการแพทย์ ไปจนถึง RWD หรือ Real World Data มาวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีอย่าง AI เพื่อให้ได้ผลไปใช้ในการวิจัยต่อยอด หาทางรักษาอย่างเฉพาะเจาะจง รวมทั้งหาแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการมีสุขภาพที่ดีขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น Startup ที่มีชื่อว่า WELALA ที่จะนำข้อมูลระดับ DNA ของแต่ละบุคคลไปวิเคราะห์ เพื่อหาว่า อาหาร การออกกำลังกาย และการดูตัวเองแบบไหนที่เหมาะสมกับสุขภาพของแต่ละคนมากที่สุด โดย WELALA จะร่วมมือกับร้านอาหาร ด้วยการส่งข้อมูลโภชนาการที่แต่ละคนต้องการไปที่ร้านอาหาร และหากเราเข้าไปรับประทานที่ร้านอาหารดังกล่าว อาหารจะเป็นไปตามโภชนาการที่ร่างการเราต้องการ
การระบาดของ COVID-19 นี้นอกจากจะส่งผลกระทบในการใช้ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนรูปแบบไปรักษาระยะห่าง ทำงานทางไกลแบบออนไลน์ ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพในแง่ของการไปเข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลอีกด้วย จากการศึกษาของ Roche พบว่า มีผู้ป่วยมะเร็งมากมายที่ตัดสินใจไม่ไปเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องในช่วง COVID-19 ระบาด ในขณะเดียวกัน WHO เองก็ออกมารายงานว่า 42% ของ 163 ประเทศทั่วโลก กำลังเผชิญปัญหาผู้ป่วยไม่เข้ารับบริการรักษามะเร็ง และ 58% ของประเทศรายได้น้อย กำลังขาดการให้บริการรักษามะเร็ง ซึ่งผลจากการระบาดของ COVID-19 นี้จะส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 3500 รายในช่วงการระบาด หรือเทียบเท่ากับ 60,000 รายต่อปี
ดังนั้นทางเลือกใหม่ของการรักษาอย่าง Telemedicine ก็กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่า ถึงแม้ว่าการระบาดของ COVID-19 จะกลับมาสู่ภาวะปกติ ผู้คนก็จะยังคงใช้ชีวิตตามวิถีใหม่เช่นเดิม ส่งผลให้เกิดทางเลือกของการรักษาที่ต้องนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย
และการจะก้าวเข้าสู่อีกขั้นของการออกแบบ Personalized Healthcare สำหรับบุคคลนั้น ได้มีการคิดค้น ออกแบบการเก็บข้อมูล การตรวจวัดสุขภาพผ่านการใช้งานโทรศัพท์มือถือ ผ่านการใช้งานแอปพลิเคชัน การสวมใส่อุปกรณ์ อย่างเช่น Smart Watch รวมไปถึงการเล่นเกม ซึ่งสิ่งนี้ เรียกว่าเป็น Digital Biomarkers หรือ การบ่งชี้ดัชนีทางชีวภาพแบบดิจิทัล
จากรูปแบบการเข้ารับการรักษาแบบเก่า ที่ผู้ป่วยจะต้องมีอาการก่อนถึงจะเข้าไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล และกลับมารักษาตัวที่บ้าน ก่อนที่จะกลับเข้าโรงพยาบาลเพื่อติดตามอาการ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยต้องเสียเวลา เสียค่าเดินทาง และเสียค่ารักษาจำนวนมาก ดังนั้น การออกแบบให้ผู้ป่วยสามารถรับรู้อาการเบื้องต้นผ่านโทรศัพท์มือถือ (บางครั้งอาจจะพบเจออาการที่ไม่คาดคิดมาก่อน) และส่งข้อมูลเหล่านี้ตรงถึงมือคุณหมอ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง
ตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชัน ที่ช่วยในการวัดผลการมองเห็น โดยเมื่อทำการทดสอบ ผลดังกล่าวจะส่งถึงแพทย์เพื่อวินิจฉัยซ้ำ และแพทย์จะมีการออกแบบการรักษาให้ นอกจากนี้ ยังมีการวัดผ่านแว่น VR ที่จะผลให้คุณหมอแบบอัตโนมัติเช่นกัน ซึ่งแว่น VR นี้คาดว่าจะนำมาใช้ในประเทศไทยเร็ว ๆ นี้
โดยจากการศึกษา พบว่า หากมีการรักษาที่ทันท่วงที ผ่าน Digital Biomarkers นี้จะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยจอประสาทตาเสื่อมได้ถึง 25% และช่วยให้พวกเขาได้รับการรักษาที่ทันเวลา นอกจากนี้ การรักษาในรูปแบบนี้ยังส่งผลดี โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของ COVID-19 ทั้งลดความเสี่ยงของแพทย์และผู้ป่วยในการใกล้ชิดกัน และยังรวมไปถึงความสะดวกรวดเร็วในการวินิจฉัย ที่จะทำให้ผู้ที่เข้ารับการรักษาไม่ต้องเสียเวลา และค่ารักษาในจำนวนมาก
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด