
สัญญาณเตือนภัยแรกของวิกฤตราคาหน่วยความจำรอบใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว เมื่อ Framework ผู้ผลิตแล็ปท็อปดาวรุ่งที่ครองใจกลุ่มผู้ใช้งานระดับโปรซูเมอร์ ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการว่าจะมีการปรับขึ้นราคาสำหรับการอัปเกรดหน่วยความจำ DDR5 สูงถึง 50% โดยให้เหตุผลว่าบริษัทไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นได้อีกต่อไปและจำเป็นต้องผลักภาระนี้มายังผู้บริโภค แม้ว่าราคาของรุ่น Framework Desktop ที่มาพร้อมหน่วยความจำ 128GB จะยังคงเดิม แต่ทางบริษัทได้แสดงความโปร่งใสด้วยการอธิบายถึงกลไกเบื้องหลังว่า หน่วยความจำที่ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เพียงแห่งเดียวใช้งานนั้น มีปริมาณมหาศาลเทียบเท่ากับแล็ปท็อปกว่าหนึ่งล้านเครื่อง ยกตัวอย่างเช่น แร็ค Nvidia GB300 เพียงหนึ่งแร็ค อาจบรรจุหน่วยความจำแบบผสมระหว่าง HBM3E และ LPDDR5X ได้มากถึง 37TB ความขาดแคลนนี้รุนแรงถึงขั้นที่ Nirav Patel ซีอีโอของ Framework ต้องออกมาตรการป้องกันการกักตุนสินค้า โดยระบุว่าบริษัทจะปรับนโยบายการคืนสินค้าเพื่อป้องกันผู้ที่ซื้อแล็ปท็อปเพียงเพื่อถอดเอาแรมไปขายต่อ แล้วส่งคืนเฉพาะตัวเครื่องเปล่า
ในอดีต แรม (RAM) เคยเป็นชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่ผู้คนให้ความสนใจน้อยที่สุด เพราะราคาเข้าถึงง่ายและมีเสถียรภาพ เพียงแค่เลือกความจุที่ต้องการ เช็คความเร็วให้ตรงกับเมนบอร์ด ก็สามารถจบงานได้ทันที แต่หากใครติดตามข่าวสารในช่วงนี้จะพบว่า ราคาแรมได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นชิ้นส่วนที่มีความผันผวนและน่าสับสนที่สุดในตลาดพีซี และผลกระทบนี้กำลังลุกลามไปไกลกว่าแค่การประกอบคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นการขึ้นราคาตามกลไกตลาดปกติ แท้จริงแล้วคือผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ทับซ้อนกันหลายประการ ทั้งในแง่กระบวนการผลิต กลุ่มเป้าหมาย และทิศทางการสร้างรายได้ของผู้ผลิตชิปในอีกหลายปีข้างหน้า
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา TrendForce ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มตลาดกลางราคาแรมอย่าง Dramexchange ได้เผยแพร่รายงานที่น่ากังวล โดยระบุว่าการพุ่งขึ้นของราคาแรมในครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดสมาร์ทโฟนรุนแรงกว่าแล็ปท็อป สำหรับตลาดพีซีนั้น มาตรฐานแรมขั้นต่ำจะยังคงถูกตรึงอยู่ที่ 8GB ต่อไปในอนาคตอันใกล้ ซึ่งถือเป็นก้าวถอยหลังสำหรับ Microsoft ที่พยายามผลักดันมาตรฐาน 16GB เพื่อรองรับ Windows 11 ให้ทำงานได้ลื่นไหลยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน สมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นซึ่งเป็นสัดส่วนหลักของยอดขายมือถือทั่วโลก ก็มีแนวโน้มจะหยุดอยู่ที่แรม 4GB ซึ่งเป็นปริมาณเดียวกับที่เราเห็นในสมาร์ทโฟนราคาประหยัดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สถานการณ์ปัจจุบันทำให้เราถอยหลังกลับไปอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษในแง่ของความคุ้มค่าและนวัตกรรม อีกทั้งยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อการประมวลผล AI บนอุปกรณ์ (Client-based AI) เนื่องจากผู้ผลิตจำต้องลดสเปกแรมลงเพื่อคุมราคา ซึ่งในมุมมองของผู้สันทัดกรณีบางท่านอาจมองด้วยความกังขาว่า สถานการณ์นี้กลับกลายเป็นผลดีต่อกลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์ขนาดใหญ่ (Hyperscalers) อย่างเลี่ยงไม่ได้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตลาด DRAM ต้องเผชิญกับวิกฤตราคา ย้อนกลับไปในปี 1995 เหตุแผ่นดินไหวที่โกเบ ประเทศญี่ปุ่น เคยทำให้ราคาพุ่งขึ้น 30% ภายในไม่กี่วัน หรือเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตเรซินในปี 1993 ก็เคยสร้างความตื่นตระหนกมาแล้ว แต่ปัญหาในปัจจุบันมีรากฐานมาจาก DRAM ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุปกรณ์ไอทีแทบทุกชนิด แม้จะมีชื่อเรียกต่างกันไปตามการใช้งาน เช่น DDR5, LPDDR หรือ GDDR แต่ทั้งหมดล้วนมาจากระบบนิเวศการผลิตเดียวกันที่ถูกควบคุมโดยยักษ์ใหญ่เพียง 3 ราย ได้แก่ SK Hynix, Samsung และ Micron ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 90% การกระจุกตัวของการผลิตนี้เคยไม่ใช่ปัญหาตราบใดที่ความต้องการยังคาดการณ์ได้ แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อผู้ผลิตเหล่านี้เริ่มเตรียมตัวเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี ทยอยยุติการผลิตชิปบนสถาปัตยกรรมเก่าอย่าง DDR4 เพื่อโยกกำลังการผลิตไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีกำไรสูงกว่า จนกระทั่งกระแส AI ระเบิดตัวขึ้น
การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่และการประมวลผล Inference ต้องการหน่วยความจำความเร็วสูงมหาศาล โดยเฉพาะหน่วยความจำแบนด์วิดธ์สูง (HBM) ที่ใช้ร่วมกับจีพียู ปัญหาสำคัญคือแผ่นเวเฟอร์ (Wafer) ทุกแผ่นที่ถูกนำไปผลิต HBM คือแผ่นเวเฟอร์ที่หายไปจากการผลิตแรมเกรดผู้บริโภคอย่าง DDR5 หรือ LPDDR5X เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI เซ็นสัญญาสั่งซื้อล่วงหน้ามหาศาล ผู้ผลิตแรมจึงเทกำลังการผลิตไปตามเม็ดเงินเหล่านั้น เพราะ HBM และแรมสำหรับเซิร์ฟเวอร์มอบกำไรที่งดงามและมีคำสั่งซื้อที่แน่นอนกว่าตลาดค้าปลีก ผลลัพธ์ที่ตามมาคือชุดแรม DDR5 สำหรับพีซีที่เคยราคาจับต้องได้ กลับมีราคาทะยานขึ้นจนเกือบเทียบเท่าจีพียูระดับไฮเอนด์ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรมสำหรับผู้บริโภคไม่ใช่ความสำคัญอันดับแรกของผู้ผลิตอีกต่อไป
สถานการณ์ของผู้บริโภคยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อ Micron หนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ ตัดสินใจประกาศถอนตัวจากตลาดผู้บริโภค โดยจะยุติการผลิตแรมและ SSD ภายใต้แบรนด์ 'Crucial' ซึ่งเป็นแบรนด์ยอดนิยมที่มักทำหน้าที่เป็นตัวดึงราคาตลาดให้สมเหตุสมผล Micron ให้เหตุผลว่าความต้องการในศูนย์ข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI พุ่งสูงขึ้นมาก บริษัทจึงตัดสินใจทิ้งตลาดผู้บริโภคเพื่อไปโฟกัสที่ลูกค้าระดับองค์กรและยุทธศาสตร์หลักแทน โดยสินค้า Crucial จะวางจำหน่ายจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2026 เท่านั้น การหายไปของ Crucial จะทำให้เหลือผู้เล่นหลักในตลาดแรมผู้บริโภคเพียงแค่ Samsung และ SK Hynix ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว การแข่งขันที่น้อยลงย่อมหมายถึงราคาที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทางด้าน Samsung เองก็ปรับกลยุทธ์โดยหันไปเน้นการผลิตโมดูลแรมสำหรับเซิร์ฟเวอร์ (RDIMM) DDR5 มากขึ้นเพื่อหนีการแข่งขันในตลาด HBM ที่ตนเป็นรอง SK Hynix ซึ่งการตัดสินใจนี้แม้จะสมเหตุสมผลในเชิงธุรกิจของ Samsung แต่สำหรับผู้บริโภค มันหมายถึงอุปทานที่ลดลงและราคาที่สูงขึ้นในตลาดที่เหลือ ผลกระทบลูกโซ่นี้ยังลามไปถึงการ์ดจอที่ใช้แรม GDDR และอุปกรณ์พกพาที่ใช้ LPDDR รวมถึงตลาด SSD ที่ราคาเริ่มขยับตัวสูงขึ้นหลังจากที่ราคาตกต่ำมานาน เนื่องจากการผลิต NAND Flash ก็ถูกดึงไปตอบสนองความต้องการขององค์กรและงานด้าน AI เช่นกัน
หากคุณยังไม่รู้สึกกังวล นี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์แบรนด์ดังเริ่มส่งสัญญาณเตือนแล้ว TrendForce รายงานว่า Dell กำลังวางแผนปรับขึ้นราคาพีซีในระดับเลขสองหลัก ในขณะที่ Lenovo เตือนว่าราคาที่เสนอในปัจจุบันอาจยืนระยะได้ไม่นาน และ HP ระบุว่าหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ช่วงครึ่งหลังของปี 2026 เราอาจได้เห็นราคาเครื่องที่สูงขึ้นไปอีก นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของคนประกอบคอมพิวเตอร์เล่นเกมที่ต้องจ่ายแพงขึ้น แต่มันกระทบไปถึงงบประมาณของโรงเรียน องค์กรธุรกิจ และผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการฮาร์ดแวร์ในราคาที่เข้าถึงได้
แม้จะมีแนวทางแก้ไขปัญหาบ้าง เช่น การใช้เทคโนโลยี CXL เพื่อขยายหน่วยความจำในเซิร์ฟเวอร์ด้วยการนำแรมเก่ากลับมาใช้ แต่นั่นเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในฝั่งองค์กร ส่วนการสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลและใช้เวลาหลายปีกว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้จริง อย่างโรงงานใหม่ของ Micron ในญี่ปุ่นก็คาดว่าจะเริ่มผลิตได้เร็วที่สุดในช่วงครึ่งหลังของปี 2028 ทางออกเดียวที่จะทำให้ราคาลดลงในระยะสั้นคือการที่ฟองสบู่ AI แตก หรือความต้องการชะลอตัวลง ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตเหลือสต็อกสินค้าและต้องลดราคาลงมา แต่ตราบใดที่ AI ยังคงเป็นคลื่นการลงทุนลูกใหญ่ที่สุดของโลกเทคโนโลยี ทิศทางราคาก็มีแต่จะพุ่งสูงขึ้น บทสรุปของเรื่องนี้คือ แรมได้เปลี่ยนสถานะจาก 'สินค้าโภคภัณฑ์' กลายเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด และดูเหมือนว่ามันจะคงสถานะนี้ไปอีกนานตราบเท่าที่โรงงานผลิตเดิมยังคงต้องป้อนอาหารให้กับปีศาจแห่งความต้องการที่ชื่อว่า AI
ที่มา: TechRadar
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด