ในยุคที่ชื่ออย่าง Mark Zuckerberg และ Bill Gates ถูกกล่าวถึงในฐานะอดีตนักศึกษาที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างอาณาจักรธุรกิจระดับโลก วันนี้ชื่อของ Alexandr Wang และ Lucy Guo ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Scale AI กำลังเป็นที่จับตามองในฐานะ “ผู้สานต่อความกล้า” ของคนรุ่นใหม่ในวงการเทคโนโลยี
Alexandr Wang เด็กหนุ่มอายุ 19 ปี จากนิวเม็กซิโก ผู้หลงใหลคณิตศาสตร์และการเขียนโปรแกรมมาตั้งแต่มัธยม เริ่มต้นด้วยปัญหาเล็กๆ “จะรู้ได้ยังไงว่าควรซื้อของเข้าตู้เย็นเมื่อไหร่” เขาจึงสร้างกล้องในตู้เย็นไว้ตรวจจับว่าของหมดหรือยัง โดยเฉพาะนม แต่พบปัญหาใหญ่ทันที คือ ไม่มีข้อมูลที่เพียงพอในการฝึกระบบ AI ให้รู้ว่าสิ่งที่กล้องเห็นคืออะไร
จากจุดนั้นเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเพื่อนร่วมวงการหลายคนก็ไม่สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ AI ได้จริงจัง ทั้งที่มีทักษะ เพราะขาดข้อมูลที่ดีพอ ข้อมูลดิบมีอยู่มาก แต่ไม่มีใครจัดระเบียบมัน
ปี 2016 ณ ซานฟรานซิสโก
Wang ได้ปัดข้อเสนอฝึกงานจากบริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง และลาออกจาก MIT หลังเรียนจบปีหนึ่ง เพื่อมาทำสิ่งหนึ่งที่เขาเชื่อว่าโลกกำลังต้องการ บริษัทที่จัดระเบียบข้อมูลให้กับ AI
Wang เชื่อมั่นว่าข้อมูล คืออุปสรรคหลักของการพัฒนา AI และนี่คือช่องว่างทางธุรกิจที่เขาเลือกจะเติมเต็ม เขาจึงไปชวน Lucy Guo เพื่อนร่วมงานจาก Quora สาวแกร่งวัย 21 ปี ที่ลาออกจาก Carnegie Mellon และมีวิสัยทัศน์เฉียบคมด้านการออกแบบระบบ ทั้งคู่สมัครเข้า Y Combinator โปรแกรมเร่งธุรกิจที่เคยปั้น Airbnb และ Stripe มาแล้ว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ Scale AI
Scale AI ได้รับเงินทุนเริ่มต้น 120,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จาก Y Combinator และเริ่มต้นบริษัทจากการศึกษาว่าข้อมูลแบบใดเหมาะสมกับการฝึก AI
เมื่อ Scale AI เริ่มต้นในปี 2016 ภารกิจแรกที่บริษัทมุ่งเน้นอย่างจริงจังคือ ช่วยฝึก AI สำหรับรถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งในขณะนั้นเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดในซิลิคอนแวลลีย์
รถยนต์ไร้คนขับจำเป็นต้องมองเห็นโลกให้ได้เหมือนมนุษย์ ต้องรู้ว่าตรงไหนคือถนน ใครคือคนเดินเท้า ป้ายจราจรอยู่ตรงไหน และควรหยุดเมื่อไร
แล้วการจะให้ AI เข้าใจภาพพวกนั้น มันไม่ใช่แค่เอาภาพมาให้ดูเฉยๆ มันต้องมี ‘ข้อมูลที่มีคนช่วยระบุไว้แล้ว’ หรือที่เรียกว่า labeled data เช่น บอกว่าตรงนี้คือต้นไม้ ตรงนั้นคือป้ายหยุด ซึ่งก็คืองานที่ต้องใช้คนทำ และนั่นแหละ คือภารกิจแรกของ Scale AI ที่จะใช้แรงงานมนุษย์มาช่วยติดป้ายข้อมูลบนภาพถ่ายจากกล้องหน้ารถนับล้านภาพ แล้วเอาข้อมูลเหล่านั้นไปฝึก AI ให้ฉลาดพอจะขับรถได้อย่างปลอดภัย
มันฟังดูเหมือนเป็นงานเบื้องหลังเล็กๆ แต่ความจริงเป็นงานที่สำคัญมาก เพราะถ้าไม่มีข้อมูลคุณภาพดีแบบนี้ รถก็จะมองเห็นทุกอย่างมั่วไปหมด และเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ จากภารกิจแรกตรงนั้น Scale AI ก็เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนขยายไปสู่การช่วยฝึก AI ให้กับอุตสาหกรรมอื่น เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม การแพทย์ ไปจนถึง ChatGPT ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้
ปี 2023 — ปีนี้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนผ่านของ Scale AI จากบริษัทที่เคยอยู่เบื้องหลังการจัดการข้อมูล สู่การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของบริษัท AI ชั้นนำอย่าง OpenAI
โดย OpenAI ต้องการเปิดทางให้ธุรกิจต่างๆ สามารถปรับแต่งโมเดล GPT-3.5 ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะองค์กรที่มีข้อมูลเฉพาะตัว ต้องการให้ AI ตอบคำถามในน้ำเสียงของแบรนด์ หรือใช้งานในบริบทเฉพาะอุตสาหกรรม แต่การจะให้ AI เข้าใจข้อมูลภายในองค์กร ไม่ใช่แค่ใส่ข้อมูลเข้าไปเฉยๆ มันต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบ และนั่นคือจุดที่ Scale AI เข้ามาเติมเต็ม
การร่วมมือครั้งนี้ทำให้ลูกค้าของ Scale สามารถนำข้อมูลของตัวเองไปปรับแต่ง GPT-3.5 ได้ผ่านแพลตฟอร์มชื่อ Data Engine โดยไม่ต้องมีทีมวิศวกร AI ขนาดใหญ่ของตัวเอง เพราะ Scale จะรับหน้าที่แปลงข้อมูลดิบให้เป็นชุดข้อมูลพร้อมใช้งาน เพื่อสร้างโมเดลที่ “พูดได้เหมือนแบรนด์ของลูกค้า” และเข้าใจบริบทเฉพาะทางได้อย่างแม่นยำ
ปี 2024 — Scale AI ขยับอีกก้าวครั้งใหญ่ ด้วยการระดมทุนรอบใหม่มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นหนึ่งในดีลที่ใหญ่ที่สุดของปี พร้อมดันมูลค่าบริษัทพุ่งแตะ 13.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เกือบสองเท่าจากการประเมินครั้งก่อนในปี 2021
การระดมทุนครั้งนี้นำโดย Accel ร่วมด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Meta, AMD, Intel และ ServiceNow ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในบทบาทของ Scale ในฐานะแกนกลางของระบบนิเวศ AI
หัวใจของ Scale คือการใช้แรงงานคนจำนวนมากช่วย “ทำความสะอาด” และติดป้ายข้อมูลให้กับข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ ที่ใช้ในการฝึกโมเดล AI รวมถึงการใช้เทคนิค Reinforcement Learning from Human Feedback (RLHF) ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้โมเดล AI ฉลาดขึ้นด้วยความคิดเห็นจากมนุษย์จริง
Scale ระบุว่าจะใช้เงินทุนรอบใหม่นี้ สร้างข้อมูลที่ปูทางสู่ AGI (Artificial General Intelligence) หรือ AI อัจฉริยะที่สามารถคิด วิเคราะห์ และเข้าใจโลกได้อย่างอิสระเหมือนมนุษย์ แม้จะยังไม่มีใครสร้างได้ก็ตาม
ปี 2025 — โตแบบก้าวกระโดด โดยคาดว่าจะทำรายได้ถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมากกว่าปี 2024 เกือบ 3 เท่า (ปีที่แล้วทำได้ประมาณ 870 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) พร้อมกันนี้ บริษัทกำลังเจรจาเปิดให้ นักลงทุนใหม่หรือรายเดิมซื้อหุ้นจากพนักงานหรือนักลงทุนรายแรก ในดีลที่อาจทำให้มูลค่าบริษัทพุ่งไปที่ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 80% จากปีก่อน
วันนี้ Scale ไม่ได้เป็นแค่บริษัทเบื้องหลังอีกต่อไป แต่กลายเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรม AI ระดับโลก
และล่าสุดวันที่ 9 มิถุนายน 2025 : Bloomberg เปิดเผยว่า Meta กำลังเจรจาเพื่อลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในสตาร์ทอัพ Scale AI โดยบางแหล่งข่าวเปิดเผยว่า การลงทุนครั้งนี้อาจมีมูลค่าเกิน 1 หมื่นล้านดอลลลาร์สหรัฐฯ ทำให้เป็นหนึ่งในการระดมทุนของบริษัทเอกชนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาตร์ และนับเป็นการลงทุนใน AI ภายนอกองค์กรครั้งใหญ่ที่สุดของ Meta เช่นเดียวกัน
จากปี 2016 ที่เริ่มต้นเพียงเพื่อช่วยให้รถไร้คนขับมองเห็นถนน วันนี้ Scale AI กลายเป็น "แกนกลางของระบบนิเวศ AI" ที่ไม่เพียงสนับสนุน OpenAI, Microsoft หรือ Meta เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในระดับนโยบายและความมั่นคงของสหรัฐฯ
ด้วยรายได้ปีละกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าบริษัทแตะระดับ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมดีลการลงทุนที่อาจกลายเป็น หนึ่งในการระดมทุนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทเอกชน Scale AI กำลังเปลี่ยนจากสตาร์ทอัพเบื้องหลัง สู่ “โครงสร้างพื้นฐานของ AI โลกอนาคต”
และทั้งหมดนี้ เริ่มต้นจากเด็กคนหนึ่งที่อยากรู้ว่านมในตู้เย็นหมดหรือยัง
-------------------------------
อัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับ Scale AI
อ้างอิง: forbes [1], forbes [2], forbes [3], ycombinator, bloomberg [1], bloomberg [2], techcrunch
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด