ชิปขาดตลาด วิกฤตสินค้าไอทีทั่วโลกจะอยู่กับเราถึงเมื่อไหร่ ทางออกของปัญหาคืออะไร ? | Techsauce

ชิปขาดตลาด วิกฤตสินค้าไอทีทั่วโลกจะอยู่กับเราถึงเมื่อไหร่ ทางออกของปัญหาคืออะไร ?

ชิปขาดตลาด ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมาเราคงได้ยินปัญหานี้กันอยู่บ่อย ๆ  เพราะเมื่อไม่สามารถผลิตได้ทันต่อความต้องการใช้ โดยเฉพาะในสินค้าไอทีทุกชนิด ที่ความต้องการของผู้บริโภคเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ก็ทำให้เกิดผลกระทบกับหลายธุรกิจเป็นวงกว้าง

Semiconductor คือ

ชิป หรือ เซมิคอนดักเตอร์ (semiconductor) เป็นเหมือนมันสมองสำคัญที่ทำงานร่วมกับวัสดุอื่น ๆ ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สังเกตจากคอมพิวเตอร์ที่เราใช้ สมาร์ทโฟนที่เราซื้อ ต่างมีเครื่องหมายกำกับว่าประกอบด้วยเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมด ดังนั้น เมื่อชิปขาดแคลนในระดับวิกฤต สิ่งที่ควรให้ความสำคัญต่อจากนี้คือ บริษัทไหนได้รับผลกระทบ แล้วผลกระทบเหล่านั้นส่งมาถึงตัวเราได้อย่างไรบ้าง แล้วเหตุใด ชิปถึงมีความสำคัญมากถึงเพียงนี้?

เซมิคอนดักเตอร์ หัวใจของทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) เรียกได้อีกอย่างว่า “สารกึ่งตัวนำ” เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัตินำไฟฟ้าอยู่ระหว่างตัวนำและฉนวน โดยในเซมิคอนดักเตอร์จะประกอบด้วยสสารเช่น Germanium Selenium และ Silicon ซึ่งสสารดังกล่าวมีผลให้เซมิคอนดักเตอร์มีขนาดเล็กและเบา ประมวลผลได้รวดเร็ว ควบคุมพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีราคาที่จับต้องได้กว่าชิปรุ่นก่อน ๆ 

ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดนี้ เซมิคอนดักเตอร์จึงกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด เพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ให้ดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์แบบ สังเกตได้ว่าอุปกรณ์ที่มีชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์จะอยู่ในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น เช่น สมาร์ทโฟน เครื่องใช้ไฟฟ้า หลอดไฟ กล้องดิจิทัล คอมพิวเตอร์ รถยนต์ จนไปถึงระบบที่อาศัยเครือข่ายขนาดใหญ่อย่าง ตู้ ATM ของธนาคาร ระบบรถไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต ระบบขนส่ง โครงข่ายสาธารณูปโภค และบริการด้านสาธารณสุข 

ทั้งนี้ เซมิคอนดักเตอร์ก็เป็นแหล่งสร้างรายได้สำคัญในยุคโควิด-19 โดยรายได้รวมของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ในปี 2020 อยู่ที่ 425,960 ล้านดอลลาร์ โตกว่าปี 2019 ถึง 3% และเป็นอุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่หลายประเทศต้องการแข่งขันชิงตำแหน่งผู้นำผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดยบริษัทรายใหญ่ที่ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อยู่ในขณะนี้อาทิ Intel, Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. Ltd (TSMC), Qualcomm, NVIDIA Corp, SK Hynix, Samsung, Broadcom จะเห็นได้ว่าบริษัทส่วนใหญ่จะกระจุกอยู่ในประเทศสหรัฐฯ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งล้วนเป็นประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจ

โควิด-19 และสงครามการค้าจีน-สหรัฐ : ต้นกำเนิดวิกฤต ชิปขาดตลาด

ดังที่กล่าวไปว่าหลายประเทศรวมไปถึงบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกหันมาแข่งขันผลิตชิปกันมากขึ้นโดยเฉพาะในปี 2021 นี้ แต่เหตุใดกระแสข่าวเรื่อง ชิปขาดตลาด ถึงหนาหูมากขึ้นเรื่อย ๆ และอุตสาหกรรมที่พึ่งพาชิปเริ่มออกมาโอดครวญถึงวิกฤตนี้อย่างมากมาย

ต้องท้าวความไปยังช่วงโควิด-19 ระบาดใหม่ ๆ ในเดือนมี.ค. ปี 2020 เมื่อคนต้องอาศัยอยู่บ้าน ไม่ใช้พาหนะเดินทาง ยอดขายรถยนต์ก็ตกฮวบ ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ตัดสินใจลดปริมาณการสั่งซื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายใน ซึ่งรวมไปถึงเซมิคอนดักเตอร์ที่ทำงานในส่วนหน้าจอทัชสกรีนและระบบป้องกันการชนของรถ 

กระทั่งพอเข้าไตรมาส 3 ของปี 2020 ยอดขายรถยนต์ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และบริษัทรถยนต์หลายแห่งเร่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นหลักอย่างต่อเนื่อง จากที่เห็นในยักษ์ใหญ่ EV อย่าง Tesla, GM Motors, Toyota แต่ทว่าบริษัทเหล่านี้ชะล่าใจ คาดการณ์ปริมาณการใช้งานเซมิคอนดักเตอร์ต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้เมื่อต้องการจะใช้เซมิคอนดักเตอร์จริง ๆ นั้น บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ก็ส่งมอบชิ้นส่วนให้ไม่ทันต่อความต้องการของกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ จึงทำให้บริษัทดังกล่าวขาดแคลนชิ้นส่วนสำคัญที่จะไปผลิตรถยนต์

ผนวกกับสงครามการค้าที่เกิดขึ้นในปี 2020 คณะบริหารของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งมาตรการจำกัดปริมาณการขายเซมิคอนดักเตอร์ให้กับบริษัทจีนอย่าง Huawei Technologies, ZTE, ทำให้นอกจากบริษัทเหล่านี้จะเริ่มกักตุนเซมิคอนดักเตอร์อย่างมหาศาลแล้ว รัฐบาลจีนก็ตอบโต้โดยตัดกำลังผลิตเซมิคอนดักเตอร์ให้คู่ค้าบริษัทสหรัฐฯ ผลที่เกิดขึ้นคือบริษัททั้งฝั่งสหรัฐฯ และจีนที่อาศัยเซมิคอนดักเตอร์ในการผลิตต่างเจ็บปวดจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ ยังไม่รวมไปถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ Renesas Electronics โรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมี.ค. ปี 2021 ซึ่งโรงงานนี้ครอบคลุมปริมาณการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกในสัดส่วนเกือบ 20% เลยทีเดียว

ผลกระทบจากวิฤกตที่เกินกว่าจะรับมือไหว

เมื่อ Supply ไม่สามารถตอบสนอง  Demand ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ วินาทีได้ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือยอดขายที่ลดลงของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ด้วยเหตุที่ไม่สามารถใช้เซมิคอนดักเตอร์ในการผลิตอุปกรณ์ได้ตามที่วางแผนไว้

เริ่มต้นจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ใช้ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์มากถึง 50-150 ชิ้น Alixpartners บริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นจากวิกฤตชิปว่าส่งผลให้มูลค่าตลาดรถยนต์หายวับไปถึง 110,000 ล้านดอลลาร์ โดยคาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตรถยนต์ในปี 2021 จะลดลง 3.9 ล้านคัน สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี 2021 เสียอีก นอกจากนี้มีแนวโน้มสูงที่ยอดขายของผู้ผลิตรถยนต์จะปรับตัวลงในไตรมาสที่ 2 ของปี 2021นี้

เช่นเดียวกันกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า Apple ก็ได้พูดคุยกับสื่อ CNN ว่ารายได้ในไตรมาสที่ 2 ลดลง 3-4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ได้ส่งผลต่อกำลังการผลิตสินค้าหลักอย่าง iPad และ Mac อย่างมีนัยยะสำคัญ 

นอกจากนี้ Samsung ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีเกาหลีใต้ก็กล่าวกับสื่อ CNBC ว่าการที่เซมิคอนดักเตอร์ไม่เพียงพอต่อความต้องการนั้นทำให้ตนนั้นอาจจะต้องเลื่อนการเปิดตัวสมาร์ทโฟน Galaxy Note รุ่นต่อไป 

นอกจากนี้ผู้ผลิตโครงข่ายกระแสไฟฟ้าหรือระบบรถไฟ อย่าง Siemens ก็ได้กล่าวกับ CNN ว่าขณะนี้การผลิตไม่ได้อยู่ในขั้นวิกฤตก็จริง แต่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดถึงทิศทางในอนาคต

ปริมาณชิปที่น้อยลง กดดันราคาสินค้าสูงขึ้น

ไม่ใช่เพียงแต่ธุรกิจต่าง ๆ ที่เผชิญอุปสรรคครั้งใหญ่จากการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์เท่านั้น แม้แต่ตัวเราในฐานะผู้บริโภคย่อมไม่พ้นที่จะเจอผลเสียที่ตามมาเป็นทอด ๆ จากวิกฤตครั้งนี้ หนึ่งในนั้นก็คือราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น

จากรายงานของ JD Power ราคารถยนต์โดยเฉลี่ยของสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกของปี 2021 ได้ดีดตัวขึ้น 8.4% จากปีก่อน อยู่ที่ราว 37,200 ดอลลาร์ต่อคัน ทั้งนี้ สถาบัน Goldman Sachs ได้คาดการณ์เพิ่มเติมอีกว่าปริมาณการผลิตที่ลดลงจะส่งผลให้ราคาสินค้าที่พึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์เป็นหลักจะปรับขึ้นอย่างน้อย 1-3% 

วิกฤตจะอยู่กับเราถึงเมื่อไร แล้วมีวิธีแก้อย่างไรบ้าง

เบื้องต้น นักวิเคราะห์จากสถาบัน Goldman Sachs ได้ประเมินว่าสถานการณ์วิกฤตชิปจะดีขึ้นในไตรมาสล่าสุดนี้ เนื่องจากมองว่าที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งบริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ต่างก็เร่งกำลังการผลิตให้ทันต่อความต้องการได้เร็วขึ้น ในไม่ช้าสถานการณ์จะคลี่คลายลง 

ทางฝั่งของ Glenn O’Donnell รองประธานฝ่ายวิจัยของ Forrester บริษัทให้คำปรึกษาธุรกิจกลับมองว่าปัญหาชิปขาดแคลนจะยืดระยะเวลาไปจนถึงปี 2023 โดยให้เหตุผลว่า ความต้องการเซมิคอนดักเตอร์จะเพิ่มขึ้นอีก สวนทางกับปริมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด คนต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนและการทำงาน รวมไปถึงการตั้งศูนย์ data center ของบิ๊กเทคหลายแห่งในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งต้องใช้ปริมาณเซมิคอนดักเตอร์อย่างมหาศาลเลยทีเดียว 

นอกจากนี้ Patrick Armstrong CIO ของ Plurimi Investment Managers ได้พูดในรายการ Street Signs Europe ของ CNBC ว่าปัญหาขาดแคลนชิปจะกินเวลาไปอีก 18 เดือน เพราะทุกอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ล้วนใช้เซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้นกว่าที่เคยมีมา

เมื่อนึกถึงทางออกจากวิกฤตนี้ก็อาจพอได้เห็นอยู่บ้าง จากกรณีที่ทางกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์และเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ได้เรียกร้องให้คณะบริหารรัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดนของสหรัฐฯ ให้ลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มเติม

และทาง Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลกก็ได้กล่าวว่าตนจะลงทุนงบประมาณในการผลิตและสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้นอีก 28,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 ซึ่งจะบรรเทาวิกฤติไปได้อย่างน้อย 5 ปี ต้องมาดูกันต่อว่าหากโควิด-19 บรรเทาลง อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จะรอดพ้นจากวิกฤติหรือไม่ และบริษัทต่าง ๆ จะแทนที่เซมิคอนดักเตอร์ด้วยชิ้นส่วนอุปกรณ์อื่นได้อย่างไร 

อ้างอิง






ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

‘Yindee’ แชตบอตในแอป ttb Touch ใช้ Gen AI จับความรู้สึก ตอบเร็วและฉลาดกว่าที่เคย

Yindee แชตบอตที่อยู่บน Mobile Banking ของ ttb ทำงานผ่านแอป ttb Touch สามารถจับ Mood & Tone ของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ ว่าขณะแชตนั้น ลูกค้าอยู่ในอารมณ์ไหน ด้วย Generative AI โดย Azur...

Responsive image

คนอยากใช้พลังงานเยอะ แต่โลกอยากได้ปล่อยคาร์บอนน้อย บริษัทพลังงานแก้ไขความย้อนแย้งนี้อย่างไรดีในยุค AI

The Energy/Prosperity Paradox หรือภาวะย้อนแย้งแห่งพลังงาน และความเจริญ ถือเป็นความท้าทายระดับโลกที่บริษัทด้านพลังงานกำลังพบเจอ เพราะในตอนนี้โลกกำลังต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างไม่เ...

Responsive image

เศรษฐกิจไทย ‘ฟื้นตัว’ แล้วหรือยัง ? ฟังความเห็นจาก 3 ผู้นำธุรกิจยักษ์ใหญ่ไทย

ค้นพบศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย จีน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และกัมพูชา พร้อมโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในภาคอุตสาหกรรม การเงิน และเทคโนโลยี...