
นายกรัฐมนตรี Lawrence Wong ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในงาน National Day Rally 2025 เพื่อฉายภาพและกำหนดทิศทางของสิงคโปร์ในบทต่อไป
โดยมีประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่อง AI ซึ่งต่อไปนี้จะถูกยกระดับความสำคัญจนกลายเป็นวาระแห่งชาติ และจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกาะเล็กๆ อย่างสิงคโปร์สามารถก้าวขึ้นมาท้าทายประเทศใหญ่ๆ ได้อย่างทัดเทียม
งาน งาน และงาน คือสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด
Lawrence Wong กล่าวว่า สิงคโปร์รู้ดีว่าการแข่งขันแบบเดิมๆ ใช้ไม่ได้อีกต่อไปในยุคที่สงครามการค้าดุเดือดและกำแพงภาษีสูงขึ้นทั่วโลก ทางรอดของพวกเขาคือ AI
AI จะเป็นเทคโนโลยีที่กำหนดนิยามแห่งยุคสมัยของเรา เหมือนที่คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเคยทำในอดีต
สิงคโปร์ไม่ได้มอง AI เป็นแค่เครื่องมือสำหรับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ แต่คืออาวุธที่จะติดตั้งให้กับทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ ปัจจุบันสิงคโปร์นำ AI มาใช้อย่างจริงจัง เช่น หน่วยงานของรัฐบาลใช้ AI เพื่อถอดเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์ในศูนย์บริการลูกค้าทั้งสี่ภาษาทางการ และสร้างสรุปเป็นภาษาอังกฤษโดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ บริษัทขนาดใหญ่ยังใช้ AI ร่วมกับหุ่นยนต์และเครื่องจักรอัตโนมัติ เช่น GE Vernova ที่ตั้งศูนย์ซ่อมกังหันระดับโลกในสิงคโปร์ โดยใช้ AI ตรวจจับความผิดปกติของส่วนประกอบกังหันในเวลาไม่กี่นาที ไปจนถึงสนามบินชางงี (Changi) ที่จะนำ AI มาช่วยจัดการสัมภาระ
แต่ AI จะต้องไม่ถูกจำกัดอยู่แค่บริษัทใหญ่ ต่อจากนี้รัฐบาลสิงคโปร์จะทุ่มสุดตัวเพื่อส่งเสริมให้ทุกองค์กร โดยเฉพาะ SMEs สามารถนำ AI ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการยกระดับทักษะคนทั้งชาติครั้งใหญ่ โดยมีมาตรการสำคัญที่น่าสนใจดังนี้
นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับผลกระทบของเทคโนโลยีต่อเยาวชน โดยจะศึกษาแนวทางกฎหมายเพื่อสร้างความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ให้มากขึ้น และเน้นย้ำบทบาทของครูในการสอนให้เด็กใช้ AI อย่างชาญฉลาด ไม่ใช่แค่ลอกคำตอบ แต่ต้องรู้จักวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ และต่อยอดความคิดจากสิ่งที่ AI สร้างขึ้น

ภายในปี 2026 สิงคโปร์จะเข้าสู่ สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-aged Society) อย่างเป็นทางการ โดยมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 21% เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สิงคโปร์ได้เปิดตัวแนวคิด Age-Well Neighbourhoods
ซึ่งเป็นการนำโมเดลที่ประสบความสำเร็จจาก Community Care Apartments (CCA) หรือคอนโดดูแลผู้สูงอายุ มาขยายผลสู่ย่านที่อยู่อาศัยเดิมทั่วเกาะ โดยจะเริ่มที่เมือง Toa Payoh เป็นที่แรก มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนมีอายุยืนยาวและมีช่วงเวลาที่สุขภาพดียาวนานขึ้น เนื่องจากปัจจุบันชาวสิงคโปร์ใช้เวลาเฉลี่ยเกือบ 10 ปีสุดท้ายของชีวิตอยู่กับความเจ็บป่วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไข โดยแผนนี้ประกอบไปด้วย 3 แกนหลัก ได้แก่
เพิ่มศูนย์กิจกรรมผู้สูงอายุ (Active Ageing Centres) ให้เข้าถึงง่ายและกระจายตัวอย่างทั่วถึง เพื่อให้ผู้สูงอายุเดินทางไปร่วมกิจกรรมและพบปะเพื่อนฝูงได้สะดวก ไม่ไกลจากบ้าน
ขยายบริการดูแลถึงบ้าน โดยจะจัดแพ็กเกจบริการดูแลถึงบ้านให้ผู้สูงอายุสามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ ตั้งแต่การซ่อมแซมเล็กๆ น้อยๆ, ตรวจสุขภาพเบื้องต้น ไปจนถึงการดูแลส่วนบุคคล เช่น ป้อนอาหาร, ช่วยอาบน้ำ หรือส่งอาหาร
นำบริการสุขภาพไปหาประชาชน โดยโรงพยาบาลจะจัดตั้ง Health Posts ในชุมชน เพื่อให้พยาบาลเข้าไปดูแลผู้ป่วยหลังออกจากโรงพยาบาล ให้คำปรึกษาด้านยา และดูแลสุขภาพเบื้องต้น ทำให้ผู้สูงอายุไม่ต้องเดินทางไปไกล

ในประเทศอื่นๆ สิ่งที่ผมได้อธิบายไปอาจถูกเรียกว่าหมู่บ้านเกษียณอายุ แต่ในสิงคโปร์ เราไม่ต้องการให้ผู้สูงอายุของเราอาศัยอยู่ในสถานที่ที่แยกโดดเดี่ยว แต่เราจะมีย่านวัยเก๋าภายในเมืองของเรา เราจะสร้างสิงคโปร์ที่ผู้สูงอายุทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด สามารถสูงวัยได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีเป้าหมาย และมีความสุข
นี่คือความพยายามของสิงคโปร์ที่จะสร้างเมืองให้ผู้สูงวัยสามารถแก่ตัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่การใช้ชีวิตในบ้านพักคนชราที่ถูกแยกตัวออกไป แต่เป็นการอาศัยอยู่ท่ามกลางเพื่อนบ้านและชุมชนที่คุ้นเคย

สิงคโปร์ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาที่ดิน โดยในช่วง 10 ปีข้างหน้า พื้นที่ทางตอนเหนือของเกาะจะถูกพลิกโฉมใหม่ ซึ่งมีโครงการที่น่าสนใจดังนี้
เมือง Woodlands ซึ่งเป็นประตูสู่มาเลเซีย จะถูกยกระดับเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ Johor-Singapore โดยจะมีการขยายด่านตรวจคนเข้าเมืองให้ใหญ่ขึ้น 5 เท่า และสร้างที่อยู่อาศัยริมน้ำแห่งใหม่
ย่าน Kranji ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามม้าแข่งเก่าแก่ขนาด 130 เฮกตาร์ จะถูกเปลี่ยนเป็นเมืองที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติ รองรับบ้านได้สูงถึง 14,000 ยูนิต
ย่าน Sembawang ซึ่งมีอู่ต่อเรืออันเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ จะถูกพัฒนาเป็น Waterfront Destination แห่งใหม่ที่ผสมผสานความเก่าแก่เข้ากับไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ โดยจะมีการอนุรักษ์พื้นที่สำคัญไว้และเปลี่ยนเป็นพื้นที่กิจกรรมสำหรับชุมชน
Lawrence Wong กล่าวว่าเทคโนโลยี แผนการ หรือโครงการต่างๆ เป็นเพียงเครื่องมือ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะขับเคลื่อนสิงคโปร์ไปข้างหน้าคือ จิตวิญญาณสิงคโปร์ นั่นคือการสร้างสังคมที่ยึดหลัก We First หรือการคิดถึงส่วนรวมมาก่อนส่วนตน รัฐบาลจะเปลี่ยนบทบาทจากการทำให้ประชาชนไปสู่การทำร่วมกับประชาชน โดยเปิดพื้นที่ให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์อนาคตของตนเอง
ดังที่นักว่ายน้ำทีมชาติสิงคโปร์ Gan Ching Hwee กล่าวไว้ว่า "เราอาจจะเป็นแค่จุดแดงเล็กๆ แต่ฉันคิดว่าเราสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้"
อ้างอิง : gov.sg
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด