อุตสาหกรรมอวกาศกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดย SpaceX กลายเป็นผู้นำในการลดต้นทุนและเพิ่มจำนวนการปล่อยจรวด นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังปฏิวัติการเดินทางสู่อวกาศ ทำให้การเข้าถึงวงโคจรกลายเป็นเรื่องที่มีต้นทุนต่ำกว่าและทำได้มากขึ้นกว่าเดิม
บทความนี้ Techsauce จะพาไปสำรวจแนวโน้มสำคัญที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนการปล่อยจรวดและจำนวนการปล่อยจรวดที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงที่ผ่านมา
SpaceX ได้กลายเป็นผู้เล่นหลักในการลดต้นทุนการขนส่งสู่วงโคจรโลก (LEO - Low Earth Orbit) ภาพกราฟิกจาก CB Insights แสดงให้เห็นว่าต้นทุนลดลงอย่างมาก โดยในปี 2008 จรวด Falcon 1 มีต้นทุนอยู่ที่ 12,600 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม แต่ในปี 2018 Falcon Heavy ลดต้นทุนลงเหลือเพียง 1,500 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นการลดลงถึง 8 เท่า ในระยะเวลาเพียง 10 ปี
SpaceX ยังมีแผนที่จะใช้จรวด Starship ในอนาคตซึ่งจะลดต้นทุนลงไปอีก โดยคาดว่าต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 500 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ทำให้การเดินทางสู่อวกาศกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั้งในด้านเชิงพาณิชย์และการสำรวจวิทยาศาสตร์
อีกหนึ่งแนวโน้มที่ชัดเจนคือ จำนวนการปล่อยจรวดที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในสหรัฐฯ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จำนวนการปล่อยจรวดที่ได้รับอนุญาตเพิ่มขึ้นจากเพียง 26 ครั้งในปี 2019 เป็น 131 ครั้งในปี 2024 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า สาเหตุสำคัญมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ SpaceX ที่ช่วยผลักดันการปล่อยจรวดเชิงพาณิชย์ในระดับโลก
ในปี 2024 SpaceX ซึ่งมีมูลค่าตลาดกว่า 200 พันล้านดอลลาร์ ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ด้วยจำนวนการปล่อยจรวดที่สูงกว่าคู่แข่งถึง 7 เท่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การใช้จรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ และการปรับปรุงระบบการปล่อยจรวด ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มความถี่และลดต้นทุนการดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำเร็จของ SpaceX ในการลดต้นทุนและเพิ่มความถี่ของการปล่อยจรวดสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมอวกาศ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับการสำรวจอวกาศ แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจและเศรษฐกิจในระดับโลก อุตสาหกรรมนี้กำลังเตรียมพร้อมสำหรับยุคใหม่ที่การเดินทางสู่อวกาศจะกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น และต้นทุนที่ลดลงจะช่วยให้ผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีบทบาทในตลาดมากยิ่งขึ้น
การลดต้นทุนการเข้าถึงอวกาศทำให้เกิดการพัฒนาของสตาร์ทอัพที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีดาวเทียม ระบบขับเคลื่อนที่ล้ำหน้า และโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนอุตสาหกรรมอวกาศ ตัวอย่างหนึ่งคือ Y Combinator ซึ่งเป็น accelerator ชั้นนำ ได้เริ่มสนับสนุนสตาร์ทอัพในกลุ่มนี้มากขึ้นในปี 2023 และ 2024 โดยเน้นไปที่บริษัทที่สร้างสรรค์นวัตกรรม เช่น การเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม การพัฒนาศูนย์ข้อมูลในอวกาศ และซอฟต์แวร์จำลองสถานการณ์
สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายบริษัทเหล่านี้ก่อตั้งโดยผู้ที่เคยทำงานใน SpaceX ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทของ SpaceX ในการสร้างแรงบันดาลใจและการผลักดันนวัตกรรมในอุตสาหกรรมนี้
ข้อมูลจาก CB Insights แสดงให้เห็นถึงการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในสตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานดาวเทียมและโครงสร้างพื้นฐานในอวกาศ ตัวอย่างเช่น:
บริษัทเหล่านี้ล้วนได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนอย่างมหาศาล เช่น Astranis ที่ได้รับเงินทุนรวมถึง 762.57 ล้านดอลลาร์ และ D-Orbit ที่มุ่งเน้นด้านการขนส่งวงโคจร ได้รับทุนถึง 254.74 ล้านดอลลาร์ สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมเชิงพาณิชย์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
2025 นับเป็นปีสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศที่นำโดย SpaceX และการเติบโตของสตาร์ทอัพด้านอวกาศ การลดต้นทุนการเดินทางสู่อวกาศและความถี่ของการปล่อยจรวดที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดโอกาสใหม่สำหรับการสำรวจและการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงแต่สร้างความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและเปิดประตูให้ผู้เล่นใหม่ ๆ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาด
ข้อมูลจากรายงาน CB Insights Tech Trends 2025
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด