เมื่อพูดถึงคำว่าธุรกิจ Startup คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงเรื่องของเทคโนโลยี การลงทุน การเติบโตอย่างก้าวกระโดด ฯลฯ แต่ในฐานะคนทำงานด้านภาษีอย่างผู้เขียน กลับนึกถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประเภทนี้ว่ามีอะไรบ้าง?
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจ Startup ในประเทศไทยได้รับการสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีทั้งฝั่งของธุรกิจที่เป็นนิติบุคคล (บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วน) และทางฝั่งของนักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาอย่างเราๆ ซึ่งสิทธิประโยชน์ที่ว่านั้นสรุปออกมาได้ตามรูปด้านล่างนี้
สิทธิประโยชน์ด้านภาษีของผู้ที่ลงทุนและทำธุรกิจสตาร์ทอัพ
ถ้าดูจากทางฝั่งขวาของภาพ จะเห็นว่าสิทธิประโยชน์ด้านภาษีของภาคธุรกิจที่ได้รับ คือ การยกเว้นภาษีเงินได้ถึง 5 รอบบัญชี โดยต้องเป็น ธุรกิจที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย
คำว่า อุตสาหกรรมเป้าหมาย หมายถึง อุตสาหกรรม 10 ประเภทที่ได้รับการรับรองจากสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดังต่อไปนี้
นอกจากนั้น ยังต้องจดทะเบียนจัดตั้งในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2558 – 31 ธันวาคม 2561 โดยมีทุนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท มีรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท ประกอบกับเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ว่า รายได้จากการประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่ว่านั้นต้องไม่น้อยกว่า 80% ของรายได้ทั้งหมดของธุรกิจ หรือพูดง่ายๆว่า รายได้ส่วนใหญ่ทั้งหมดนั้นต้องมาจากการทำธุรกิจที่ผ่านการรับรองจากทาง สวทช. นั่นเอง
หากลองมองย้อนกลับไปที่ด้านซ้ายของภาพบ้าง จะเห็นว่าทางนักลงทุนเอง (บุคคลธรรมดาที่ไม่รวมห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคล) ก็ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกัน โดยสามารถนำ เงินลงทุนมาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงแต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับการลงทุนในธุรกิจ Startup โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องจ่ายเงินลงทุนภายในวันที่ 1 มกราคม 2561 – 31 ธันวาคม 2562 เพื่อเป็นการเพิ่มทุนหรือจดทะเบียนจัดตั้ง และต้อง ถือครองหุ้นที่ได้รับไว้ไม่น้อยกว่า 2 ปีหลังจากที่ได้รับจ่ายเงินลงทุนนั้นไป ถึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีครบถ้วน โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีทั้งหมดนั้น ถูกออกแบบมาเพื่อธุรกิจ Startup ที่เริ่มต้นจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และเพิ่มด้วยการจูงใจในการลงทุนของบุคคลธรรมดาในปีปัจจุบัน และให้ผลตอบแทนในการลดหย่อนภาษีเป็นของแถม แต่คำถามที่ผู้เขียนตั้งคำถามต่อตัวบทกฎหมายนี้ คือ กฎหมายดังกล่าวได้ถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสมกับการทำธุรกิจ Startup หรือไม่?
หรือว่า.. สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง?
ถึงแม้ว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ Startup และนักลงทุนก็ตาม แต่สิ่งที่ผู้เขียนยังไม่เคยได้รับคำตอบจากเรื่องนี้ คือ สิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ Startup จริงหรือไม่?
ถ้าลองเริ่มต้นจากคำถามแรกว่า ทุกวันนี้ธุรกิจ Startup ไทยมีกำไรที่ต้องเสียภาษีแล้วหรือยัง?
จากการศึกษาข้อมูลในเรื่องประสิทธิภาพของ Startup พบว่า Startup ไทยต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการสร้างรายได้ โดยมีจำนวนถึง 64% ของกลุ่มตัวอย่างที่สามารถสร้างรายได้ได้ในปัจจุบัน แต่เมื่อพิจารณาลงลึกไปถึงรายละเอียดของข้อมูลจะพบว่า มีเพียงแค่ 1% ของกลุ่มตัวอย่างที่สามารถสร้างรายได้ได้มากกว่า 10 ล้านบาทต่อปี โดยรายได้ดังกล่าวยังไม่ได้หักรายจ่ายที่เกิดขึ้นในการประกอบธุรกิจ
ดังนั้นถึงแม้ว่าธุรกิจ Startup จะมีกำไรจริง แต่นั่นยิ่งกลับหมายความว่ามีธุรกิจเพียงไม่กี่รายในประเทศไทยเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี และกลับทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างธุรกิจที่เติบโต กับธุรกิจที่ไม่เติบโต เพราะถ้าหากในวันนี้ ธุรกิจ Startup ยังไม่มีกำไรที่ต้องเสียภาษีเงินได้ นโยบายการยกเว้นภาษีเงินได้ให้ฟรีๆจำนวน 5 ปีย่อมไม่มีความหมายใดๆ
หากลองมองในมุมของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กตามประมวลรัษฏากรประกอบกัน จะเห็นว่ากฎหมายได้มีการกำหนดอัตราภาษีสำหรับ ธุรกิจนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยธุรกิจที่เข้าเงื่อนไขทุนและรายได้ในกลุ่มนี้ จะได้รับสิทธิยกเว้นกำไร 300,000 บาทแรกไม่ต้องเสียภาษี หลังจากนั้นจะเสียในอัตรา 15% ในส่วนของกำไรที่เกิน 300,000 บาทแต่ไม่เกิน 3,000,000 บาท และเสียในอัตรา 20% เมื่อมีจำนวนกำไรมากกว่า 3,000,000 บาท โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีรายได้จากการประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพในอัตราส่วน 80% ของรายได้ทั้งหมด
เมื่อเปรียบเทียบในมุมมองของการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล จะเห็นว่า กลุ่มธุรกิจ Startup ที่ไม่ได้มีรายได้สูงนัก อาจไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้สิทธิยกเว้นภาษีสำหรับธุรกิจ Startup เนื่องจากการเป็นธุรกิจกลุ่มที่ได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดนั้น อาจจะคุ้มค่าและคล่องตัวกว่าในการประกอบธุรกิจก็เป็นได้ เพราะไม่จำเป็นต้องคงสัดส่วนของรายได้ของธุรกิจให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย
คำถามที่สองที่ตามทันทีหลังจากที่เกิดคำถามแรก นั่นคือ ทุกวันนี้การยกเว้นภาษีเงินได้สำคัญแค่ไหนต่อการตัดสินใจลงทุน? ซึ่งถ้าหากการลดภาษีไม่มีแรงจูงใจต่อการตัดสินใจลงทุนจัดตั้งธุรกิจ Startup การเลือกใช้นโยบายด้านนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่าใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ดี เนื่องจากผู้เขียนไม่สามารถหาคำตอบข้อนี้ได้อย่างชัดเจน จึงทำได้เพียงอ้างอิงข้อมูลบางส่วนจากงานวิจัย ภาษีสำคัญแค่ไหนต่อการลงทุนในอาเซียนของบริษัทข้ามชาติ ที่ระบุไว้ว่า สิทธิประโยชน์ทางภาษีไม่สำคัญมากนักต่อการตัดสินใจลงทุนของบริษัทที่มีเทคโนโลยีสูง (High-tech firms) โดยผู้วิจัยพบว่าในการเลือกประเทศลงทุนของบริษัท High-tech นั้น ปัจจัยภาษีไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และยังมีขนาดความสำคัญต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัท Low-tech โดยการศึกษาพบว่าบริษัท High-tech ได้ให้ความสำคัญต่อปัจจัยด้านความยากง่ายในการทำธุรกิจ ความต่อเนื่องของนโยบาย และคุณภาพของกฎระเบียบต่างๆ มากกว่าปัจจัยด้านภาษีอย่างชัดเจน
ดังนั้น ถ้าหากภาครัฐต้องการสนับสนุนให้ธุรกิจ Startup เจริญเติบโต ควรพุ่งเป้าไปที่การส่งเสริมให้ Startup สามารถทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น และมีนโยบายที่ส่งเสริมต่างๆให้สะดวกและคล่องตัวต่อการทำธุรกิจมากกว่าเรื่องภาษีหรือไม่? หรืออย่างน้อยควรช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ไว
ผู้เขียนจึงพออนุมานได้ว่า การทำธุรกิจ Startup ที่ต้องการพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นหลักนั้น ย่อมต้องการความ “ง่าย” ในการทำธุรกิจ โดยต้องการให้รัฐลดความวุ่นวายของกฎระเบียบลง ซึ่งข้ออนุมานดังกล่าวนี้ตรงกับมุมมองของผู้ประกอบการธุรกิจ Startup ที่มองว่ากฎระเบียบและนโยบายของรัฐ เป็นปัจจัยหลักที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ เช่นเดียวกัน
และจากคำถามทั้งสองข้อข้างต้นที่กล่าวมา ทำให้เกิดคำถามข้อสุดท้ายที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ในหัวข้อของบทความว่า อะไรคือสิ่งที่ภาครัฐควรจะใส่ใจอย่างแท้จริง? หากทุกฝ่ายล้วนต้องการให้ธุรกิจ Startup เติบโตอย่างยั่งยืนในประเทศไทย
แต่น่าเสียดายตรงคำถามนี้ ผู้เขียนไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง...
ภาพ cover โดย rawpixel
อ้างอิงข้อมูลจากกฎหมายต่อไปนี้
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด