ศูนย์วิจัยฯ ไทยพาณิชย์ชี้ ปัญหาคอร์รัปชันไทย อุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ | Techsauce

ศูนย์วิจัยฯ ไทยพาณิชย์ชี้ ปัญหาคอร์รัปชันไทย อุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) รายงานว่า สถานการณ์คอร์รัปชันของไทยในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมาปรับแย่ลง

ดัชนีมาตรฐานการควบคุมคอร์รัปชัน (Control of corruption index: CCI) ที่จัดทำโดย World Bank บ่งชี้ว่าในปี 2017 ไทยได้คะแนน -0.39 (อยู่อันดับที่ 120 จากทั้งหมด 209 ประเทศ) ปรับตัวแย่ลงจากปี 1996 ที่ไทยได้ -0.36 คะแนน (อยู่อันดับที่ 103 จากทั้งหมด 187 ประเทศ) ซึ่งดัชนี CCI มีค่าอยู่ระหว่าง -2.5 ถึง 2.5 โดยคะแนนที่ติดลบนั้นบ่งชี้ถึงมาตรฐานการควบคุมคอร์รัปชันไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก

นอกจากนี้ การจัดอันดับโดยองค์กร Transparency International ยังพบว่า ภาพลักษณ์ด้านคอร์รัปชันของไทยก็ปรับแย่ลงเช่นกัน โดยในปี 2018 ไทยได้  36 คะแนน (อยู่อันดับที่ 99 จากทั้งหมด 180 ประเทศ) ลดลงจากในปี 2012  ที่ไทยได้ 37 คะแนน (อยู่อันดับที่ 90 จากทั้งหมด 175 ประเทศ) ซึ่งคะแนนมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 โดยคะแนนยิ่งสูงหมายถึงประเทศนั้นมีคอร์รัปชันต่ำ

ปัญหาด้านคอร์รัปชันส่งผลเสียต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำในประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทยหลายช่องทาง ทั้งรายได้ภาครัฐที่ลดลง การใช้จ่ายภาครัฐที่ด้อยประสิทธิภาพ การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนที่ทำได้ยากขึ้น และการลดแรงจูงใจของการลงทุนภาคเอกชนโดยเฉพาะในด้านงานวิจัยนวัตกรรม

จากงานศึกษาของ IMF เดือนเมษายน 2019 พบว่าประเทศที่มีGDP per capita สูงมักเป็นประเทศที่มีคอร์รัปชันต่ำ สอดคล้องกับงานวิจัยส่วนใหญ่ที่พบว่าคอร์รัปชันส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ดังนั้นการลดปัญหาคอร์รัปชันจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญข้อหนึ่งในการพัฒนาไปสู่ประเทศรายได้สูง

ปัญหาคอร์รัปชันส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจใน 3 ช่องทาง

1. คอร์รัปชันทำให้รายได้ของภาครัฐน้อยลง

ส่วนหนึ่งมาจากการติดสินบนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีทำให้ภาครัฐเก็บภาษีได้น้อย และทำให้ประชาชนไม่มีแรงจูงใจในการจ่ายภาษีเต็มตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย โดยการศึกษาของ IMF พบว่า ประเทศที่คอร์รัปชันต่ำจะมีรายได้ภาครัฐสูงกว่าประเทศที่มีคอร์รัปชันสูงเฉลี่ยประมาณ 2.8-4.5% ของ GDP ซึ่งรายได้ภาครัฐที่ลดลงทำให้มีเม็ดเงินลงทุนน้อยลงสำหรับโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการสังคมที่มีคุณภาพ จึงส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในระยะยาว

2. คอร์รัปชันลดประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ

โดย IMF พบอีกว่าประเทศที่คอร์รัปชันสูงมักมีการใช้จ่ายภาครัฐต่อหนึ่งโครงการสูงกว่าประเทศที่มีคอร์รัปชันต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และพลังงาน มีความเสี่ยงที่จะมีการติดสินบนมากที่สุด และยังพบว่าการคอร์รัปชันส่งผลให้การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจย่ำแย่ลงทั้งในแง่ของผลกำไรและประสิทธิภาพการดำเนินงาน นอกจากนี้ การดำเนินงานภาครัฐที่ไม่มีประสิทธิภาพยังทำให้คุณภาพการศึกษาด้อยลง สะท้อนจากคะแนนผลสอบนานาชาติที่ต่ำ โดยในกรณีของไทย ผลสอบ PISA ในปี 2015 อยู่เพียงอันดับที่ 55 จาก 72 ประเทศ แม้จะมีการจัดสรรงบเพื่อการศึกษาค่อนข้างมากก็ตาม

3. คอร์รัปชันเป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจและการลงทุน

เพราะมักก่อให้เกิดการผูกขาดผ่านการกีดกันผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาด และทำให้ภาคเอกชนไม่มีแรงจูงใจในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพราะการสร้าง connection ผ่านการคอร์รัปชันทำได้ง่ายกว่า โดยผลสำรวจของ World Economic Forum พบว่า ปัญหาคอร์รัปชันเป็น 1 ใน 5 อุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในกลุ่มประเทศASEAN รวมถึงไทย ทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจสูงขึ้นและบั่นทอนความเชื่อมั่นในการลงทุน นอกจากนี้ OECD ยังพบอีกว่า คอร์รัปชันทำให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญด้วย

แนวทางการลดปัญหาคอร์รัปชันนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับธรรมาภิบาลภาครัฐ การเพิ่มความโปร่งใสด้านข้อมูล ซึ่งช่วยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบมากขึ้น และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ เมื่อพิจารณากรณีศึกษาในต่างประเทศและบริบทของไทยพบว่า การลดปัญหาคอร์รัปชันสามารถทำได้โดย 3 วิธีได้แก่

3 วิธีการลดปัญหาคอร์รัปชัน

1. ยกระดับธรรมาภิบาลของภาครัฐ

เพิ่มความชัดเจนและลดความซับซ้อนของกรอบกฎหมาย เพื่อลดการใช้ดุลยพินิจ (Discretion) ตลอดจนบังคับใช้กฎหมายที่ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมอย่างจริงจัง นอกจากนี้ การบริหารรัฐวิสาหกิจควรเป็นไปอย่างมืออาชีพและไม่ถูกแทรกแซงทางการเมือง ตัวอย่างการยกระดับธรรมาภิบาลของภาครัฐในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น Public Governance, Performance and Accountability Act ของออสเตรเลียที่ออกมาในปี 2013 ได้ให้อำนาจ Accountable authority เป็นผู้ควบคุมการทำงานหน่วยงานรัฐให้มีประสิทธิภาพ และมีระบบประเมินความเสี่ยงการปฏิบัติงานที่ชัดเจน ทำให้ภาครัฐมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

2. เพิ่มความโปร่งใสด้านข้อมูลและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ

โดยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลรายรับ/รายจ่าย และรายละเอียดโครงการของภาครัฐในทุกระดับ โดยเฉพาะกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง อีกทั้งปรับปรุงกฎหมายที่ลดทอนสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบของประชาชนและสื่อมวลชน โดย IADB (2018) พบว่าการให้ประชาชนติดตามความคืบหน้าโครงการรัฐได้จะช่วยเพิ่มการร้องเรียนการคอร์รัปชัน และทำให้โครงการมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น

3.ใช้เทคโนโลยีร่วมสร้างระบบการตรวจสอบ

เช่น สร้างแพลตฟอร์ออนไลน์ Crowdsourcing เพื่อให้ประชาชนรายงานการคอร์รัปชันได้ง่ายและในต้นทุนที่ต่ำ ใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี และท้ายสุดอาจประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain สำหรับบันทึกข้อมูลภาครัฐ เช่น การออกโฉนดที่ดิน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบิดเบือนและติดตามข้อมูลได้ง่าย

ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)

รูปหน้าปกจาก Quentin Lehembre

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

17 เรื่อง AI ต้องรู้ จากรายงาน AI Index 2024

Techsauce ได้สรุป 17 ประเด็นสำคัญจากรายงาน AI Index Report 2024 ซึ่งจัดทำโดย Stanford Institute for Human-Centered Artificial Intelligence (HAI) ที่รวบรวมประเด็นต่างๆ ของปัญญาประดิ...

Responsive image

แนะเทรนด์ลงทุนในสตาร์ทอัพปี 2024 พร้อมช่องทางใหม่ในการระดมทุนจากงาน KATALYST TALK MEETUP #3

บทความที่เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพควรอ่านเพื่อเป็นไกด์ไลน์ในการเผชิญความท้าทายในปีนี้ จากการรับฟังภายในงาน KATALYST TALK MEETUP #3 ‘Navigating the Startup Challenges in 2024 and Beyond’...

Responsive image

เตรียมพบกับงาน SEA Blockchain Week 2024 (SEABW) ยกขบวนกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชน และ Web 3 ระดับโลกกว่า 100 คน มาร่วมพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ที่เมืองไทย

Southeast Asia Blockchain Week หรือ SEABW งานด้านบล็อกเชนสุดยิ่งใหญ่ระดับภูมิภาค ที่เตรียมจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 24-25 เมษายน 2567 ซึ่งจะจัดขึ้น ณ True ICON HALL ช...