ปั้นไทยเป็น Tech Gateway สะพานเชื่อมการลงทุนระดับโลก | Techsauce

ปั้นไทยเป็น Tech Gateway สะพานเชื่อมการลงทุนระดับโลก

สรุปประเด็นจาก Main Stage ภายในงาน Techsauce Global Summit 2024 หัวข้อ Thailand's Tech Gateway: Bridging Global Investment and Local Innovation หรือ ปั้นไทยเป็น Tech Gateway สะพานเชื่อมการลงทุนระดับโลก

เกริ่นก่อนว่า Techsauce ผู้ขับเคลื่อนระบบนิเวศเทคโนโลยีในไทย มุ่งผลักดันประเทศไทยให้เป็น 'Digital Gateway' โดยจัดทำโครงการหลากหลายด้าน อาทิ Thailand Accelerator เพื่อพัฒนาเทคสตาร์ทอัพและเชื่อมต่อผู้ประกอบการกับนักลงทุนจากทั่วโลกที่ต้องการขยายธุรกิจและฐานการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Digital Gateway เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Digital Gateway พื้นที่แห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งร่วมยกระดับผู้ประกอบการไทยให้เข้าถึงแหล่งความรู้และเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจในวงกว้าง 

โครงการข้างต้นได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชนหลากหลายแห่ง ทำให้ Techsauce เล็งเห็นว่า ยังมีโอกาสพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อีกมากหากร่วมแรงร่วมใจพาประเทศไทยไปเป็น Tech Gateway ประตูบานแรกที่ดึงดูดการลงทุนในระดับโลกสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจนวัตกรรมและสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตสู่ระดับโลก

ฟังไอเดียพร้อมแนวทางขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Tech Gateway จาก 5 Speakers ดังนี้ 

  • คุณนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
    เลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) 
  • ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ 
    ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) 
  • คุณจรีพร จารุกรสกุล 
    ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) 
  • คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ 
    ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด (Techsauce Media)
  • คุณพรวิช ศิลาอ่อน 
    รองอธิบดี กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)

มัดรวมความท้าทายและศักยภาพของประเทศไทย ให้เห็นกันชัดๆ ในทุกมิติ

คุณนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวถึงสถานการณ์โดยรวมว่า ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี แรงผลักดันเพื่อการเปลี่ยนผ่านสีเขียว (Green Transition) ทั้งยังมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องการลงทุนทั่วโลก ตลอดจนการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน 

อย่างไรก็ตาม คุณนฤตม์ยังเชื่อว่านักลงทุนกำลังมองหาสถานที่ที่ปลอดภัย มีความยืดหยุ่น คุ้มค่าที่จะลงทุน และเชื่อว่าประเทศไทยจะเป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุน เนื่องจากไทยมีจุดยืนในเรื่องความเป็นกลางและมีความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศ จนมีคนเรียกประเทศไทยว่าเป็น 'เขตปลอดความขัดแย้ง' หรือ 'เขตปลอดภัยสำหรับนักลงทุน' 

สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว รัฐบาลไทยมีความตั้งใจที่จะส่งเสริมการลงทุนด้าน BCG (Bio-Circular-Green) ร่วมกับใช้ โมเดลเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economic Model) เป็นทุนเดิม ฝั่ง BOI ในฐานะที่เป็นสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ก็ให้สิทธิประโยชน์หลากหลายด้านเพื่อสนับสนุนให้ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจสู่การเปลี่ยนผ่านสีเขียว จึงเป็นทิศทางที่สอดคล้องกันอย่างชัดเจน

จากสถิติของ BOI ในปี 2023 มีการลงทุนมากกว่า 23 พันล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 43% จากปีก่อน ส่วนครึ่งแรกของปีนี้ มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 13 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน นี่คือโอกาสทั้งหมดที่เรามอบให้นักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเทคโนโลยี เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงอุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมสีเขียว

คุณนฤตม์กล่าวเพิ่มถึงจุดแข็งด้านภูมิศาสตร์ของประเทศไทย เพราะไทยตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาค มีประชากรเกือบ 70 ล้านคน ทั้งยังสามารถเข้าถึงตลาดที่มีประชากรมากกว่า 300 ล้านคนในคาบสมุทรอินโดจีน และ 600 ล้านคนในภูมิภาคอาเซียน

นอกเหนือจากตลาดในภูมิภาค ประเทศไทยยังมี ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) 15 ฉบับกับ 19 ประเทศ และ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP: Regional Comprehensive Economic Partnership) ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีชาติอาเซียนและ 5 ประเทศคู่ค้าของไทยรวมอยู่ด้วย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ 

เพิ่มเติมจากนี้ ไทยยังมีห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งจึงสามารถเป็นประตูหรือเกตเวย์สำคัญที่สร้างโอกาสให้แก่นักลงทุนได้อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการพัฒนาแล้ว ด้านแรงงานคุณภาพสูง ด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย อย่างโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานระดับโลก โรงเรียนนานาชาติที่มีมากกว่า 200 แห่ง รองรับบุตรหลานของคนที่เดินทางเข้ามาทำงานในไทยได้ 

ศักยภาพของประเทศไทยที่คุณนฤตม์กล่าวทั้งหมดนี้ จึงสะท้อนว่า ไทยสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนแล้วได้รับประโยชน์กลับไปมหาศาล

เส้นทางหนุนเทคสตาร์ทอัพไทย ยาวนานและยาวไกลกว่าที่หลายคนคิด 

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เล่าย้อนถึงการจูงใจให้นักลงทุนหันมาสนับสนุนเทคสตาร์ทอัพว่า depa ช่วยสตาร์ทอัพไทยมานานกว่า 8 ปี แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า depa ให้เงินลงทุนในฐานะ Angel Investor แก่สตาร์ทอัพระยะเริ่มต้น (Early Stage) รายละ 1 ล้านบาท แม้ในความเป็นจริงจะมีสตาร์ทอัพ 9 ใน 10 รายที่ล้มหายตายจาก แต่ depa ในฐานะหน่วยงานภาครัฐก็ยังช่วยแบกรับความเสี่ยง และมีสตาร์ทอัพ 20% ที่เหลือรอด ทาง depa ก็ให้เงินลงทุนแก่สตาร์ทอัพอีกรายละ 5 ล้านบาท นอกจากนี้ depa ยังมีแนวทางสนับสนุนสตาร์ทอัพเต็มพิกัด 

  • หากเป็นการผลักดันสตาร์ทอัพสู่ตลาดโลก depa ให้เงินลงทุนมากถึง 2 ล้านดอลลาร์ เทียบได้กับเงินที่ VC (Venture Capital) ลงทุนให้
  • หากสตาร์ทอัพต้องการทำธุรกิจ depa ก็ร่วมสร้างความตระหนักด้วยว่า ต้องมีการจดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญา (IP: Intellectual Property) โดย depa จัดทำ IP Fund กองทุนเพื่อส่งเสริมทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งการจดทะเบียนตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์
  • หากสตาร์ทอัพต้องการสเกลธุรกิจ ย่อมต้องการ Talent หรือนักพัฒนามาเพิ่มในทีม depa จึงจัดให้มีกองทุนสำหรับการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลจากกระทรวงการคลัง ซึ่งเทียบได้กับ Matching Fund เพื่อผลักดันการสร้างคนดิจิทัลตั้งแต่ยังเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อเก็บประสบการณ์และเรียนรู้จากสตาร์ทอัพโดยตรง โดยมีเงินเดือนให้นักศึกษา ซึ่งเป็นเงินจาก depa ส่วนหนึ่ง (มากถึง 50%) จากธุรกิจสตาร์ทอัพ อีกส่วนหนึ่ง และเมื่อผู้เรียนเรียนจบ เงินเดือนที่สตาร์ทอัพให้นักศึกษาไว้สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้มากถึง 200% 
  • หากสตาร์ทอัพต้องการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ depa ก็ร่วมมือกับ Techsauce, DITP จัดทำโครงการต่างๆ ทั้งยังร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในมาเลเซีย ในฮ่องกง (HKTDC) กับสถานทูตฟินแลนด์ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐในสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนด้วย สนับสนุนการพาสตาร์ทอัพไทยไปยังตลาดต่างประเทศ และยังมีกองทุนระหว่างประเทศมาเสริมทัพอีกทางหนึ่ง

ปัจจุบัน depa มีสตาร์ทอัพในพอร์ต 160 ราย มูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ราว 4,000 ล้านบาท และยังสร้างความร่วมมือในหลากหลายรูปแบบ สร้างเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่การใช้บริการผลิตภัณฑ์จริง เช่น Thailand Digital Catalog หรือ บัญชีบริการดิจิทัล ที่เปิดรับผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทั้งไทยและเทศเข้าสู่ระบบ เพื่อนำเสนอบริการทางเลือกให้แก่ภาครัฐและเอกชน โดยผู้ใช้งานหรือลูกค้าที่ใช้บริการดิจิทัลในแคตตาล็อกดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI และจะได้ลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายมากถึง 100% ขณะที่สตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี ซึ่งเป็นผู้ให้บริการในระบบบัญชีบริการดิจิทัลก็จะได้รับการลดหย่อนภาษีสูงถึง 200% จากกระทรวงการคลัง

การที่มี BOI เข้ามาซัพพอร์ต depa และผู้ให้บริการดิจิทัล ทำให้ Thailand Digital Catalog เป็นเกตเวย์เดียวของภูมิภาคนี้ที่เปิดให้ธุรกิจสตาร์ทอัพลงทะเบียนเข้ามาอยู่ในระบบ และเข้าถึงตลาดภาครัฐในไทยได้ ซึ่งนอกจากจะส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ ยังช่วยแก้ปัญหาสตาร์ทอัพที่ไม่สามารถโตจากการเข้าถึงลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ได้อีกด้วย

ผศ.ดร.ณัฐพลเผยว่า ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตจบใหม่ พนักงานบริษัท ผู้ประกอบธุรกิจ เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ ก็ล้วนต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาล ต่อด้วยศักยภาพของประเทศไทยที่สามารถเป็น Tech Gateway ได้ด้วยหลายปัจจัย ดังนี้

"ข้อแรก ผมคิดว่าประเทศไทยมีสิทธิประโยชน์มากมายและยังให้สิทธิพิเศษเทียบได้กับตลาดโลก ข้อสอง ประเทศไทยมีการพัฒนาโครงการพื้นฐานไว้เป็นอย่างดี และไม่กี่ปีมานี้ เรายังมีข่าวดีที่บริษัทเทคระดับโลกประกาศว่าจะเข้ามาลงทุนด้าน Data Center และให้บริการธุรกิจคลาวด์ในประเทศไทย ซึ่งเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานที่ไทยมีอยู่ ข้อสาม ค่าครองชีพในประเทศไทยอยู่ที่ราวเดือนละ 1,000 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันแล้ว ค่าครองชีพของเราถูกกว่ามาก จึงเอื้อให้ต่างชาติตัดสินใจเข้ามาลงทุนหรือทำธุรกิจในไทยได้ง่ายขึ้น ข้อสี่ เมืองไทยมีตลาดเพียงพอแล้วทั้งตลาดภาครัฐและเอกชนที่เทคสตาร์ทอัพจะสามารถทำตลาดได้ การลงทุนหรือการเข้ามาตั้งธุรกิจใหม่จึงเป็นโอกาสที่ดี และข้อห้า เรามีไฮสปีดอินเทอร์เน็ตใช้ ซึ่งความเร็วติดอันดับท็อปของโลก สำคัญมากต่อการใช้ชีวิตและตอบโจทย์การทำงานในยุคดิจิทัล"

โครงสร้างพื้นฐานที่ดีและพร้อมใช้ จะยิ่งดึงดูดการลงทุนเข้าประเทศ ขยายศักยภาพสตาร์ทอัพ

คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) กล่าวถึงแนวทางที่ประเทศไทยสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยยกคำพูดข้างต้นของคุณนฤตย์มาตอกย้ำว่า ได้บอกปัจจัยหรือแนวทางเอาไว้หมดแล้ว แต่ถ้ายังจำกันได้ ปี 2017 ประเทศไทยจัดตั้งโครงการ เขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือ EEC ขึ้น และ BOI ก็ให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ลงทุน รัฐบาลก็วางกลยุทธ์ในการสร้างอุตสาหกรรม S-curve และ New S-curve มาในปี 2018 ก็เกิดสงครามการค้า ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่จากจีนมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีประเทศไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายของฐานการผลิต ซึ่งทางรัฐบาลจีนก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ กอปรกับการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ลงทุนในอุตสาหกรรม S-Curve ของภาครัฐ การใช้วีซ่าดึงดูดนักลงทุน ฯลฯ

เรื่องทำเลที่ตั้งที่คุณนฤตม์กล่าวถึง เนื่องจากประเทศไทยมีโลเคชันที่ดี จึงกลายเป็นว่า บริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งต้องการใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัล เช่น ภาคยานยนต์ไฟฟ้า ที่ไทยสามารถดึงดูดการลงทุนเข้ามาได้มาก หรือบริษัทที่ทำธุรกิจด้าน Data Center, Big Data ก็เข้ามาลงทุนในไทยเพราะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีและมีความน่าเชื่อถือ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคพลังงาน ที่ประเทศสามารถผลิตจากพลังงานหมุนเวียนได้ 100% หรือเรียกว่า RE100 (Renewable Energy 100%) ทั้งยังมีแรงงานที่มีทักษะร่วมด้วย จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า บริษัทในไทยมีจุดเชื่อมต่อจนคล้ายจะเป็นระบบนิเวศ ยกตัวอย่างธุรกิจยานยนต์ ที่มีการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) จากการย้ายฐานการผลิตจากจีนเข้ามายังประเทศไทย และคาดว่าปัจจุบันจะมีธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยอยู่ราว 30 แห่ง 

ถ้าจะดึงดูดการลงทุนในตอนนี้ เราต้องคิดเรื่องห่วงโซ่อุปทานและมองเทรนด์เทคโนโลยีให้ออกว่าเป็นเรื่อง 'เทคโนโลยี' ขณะเดียวกันก็ต้องทำเรื่อง 'ความยั่งยืน' ด้วย ซึ่งหมายถึงการทำเรื่องดิจิทัลก็ต้อง Go Green และต้องทำให้ได้ตามหลัก RE100 เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดอย่างยั่งยืนได้ทุกวันและตลอดไป

ทั้งหมดนี้เป็นแนวโน้มที่ทำให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เพราะปัจจุบันไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุด สามารถอินทิเกรตเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจหรือระบบนิเวศต่างๆ ได้ ทั้งยังมีการสนับสนุนจากภาครัฐ การสนับสนุนจากภาคเอกชนร่วมด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของ WHA Group ที่สามารถสร้างรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากการดำเนินธุรกิจ 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) โลจิสติกส์ โดยโฟกัสมากขึ้นที่โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) 2) นิคมอุตสาหกรรม 3) ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน โดยโฟกัสที่จะสร้างพลังงานสีเขียว (Green Energy) และพลังงานสะอาด (Clean Energy) มากขึ้น และ 4) ดิจิทัล โซลูชัน

ในด้านนโยบายที่จูงใจให้นักลงทุนหันมาสนับสนุนเทคสตาร์ทอัพมากขึ้น คุณจรีพรกล่าวเพิ่มในฐานะองค์กรเอกชนที่พร้อมให้ความช่วยเหลือว่า ทาง WHA เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพที่อยากได้เงินลงทุน อยากควบรวมธุรกิจ (Joint Venture) หรืออยากริเริ่มทำอะไรใหม่ๆ เข้ามาขอคำปรึกษากับ WHA ได้ 

เนื่องจากพาร์ตสำคัญที่สุดของ WHA คือ เรามีองค์กรขนาดใหญ่จากทั่วโลกรวมแล้วมากกว่า 85% มาใช้บริการของเรา นั่นหมายความว่า สตาร์ทอัพสามารถรับข้อมูลการตลาดแบบอินไซด์จาก WHA หรืออาจได้รับการสนับสนุนจากองค์กรขนาดใหญ่ หรือจะให้ WHA เข้าไปเป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจก็ได้ เราสนับสนุนความต้องการได้ทั้งหมด

เริ่มเห็นภาพ Tech Gateway แล้ว ในงาน Techsauce Global Summit

คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด (Techsauce Media) กล่าวถึงภารกิจที่ประกาศไว้ในปี 2023 ว่า เห็นโอกาสอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในประเทศไทย ว่าสามารถใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ได้ เพราะขณะที่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารชุมชนและระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีไปด้วยไทยอยู่ตรงกลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแพลตฟอร์มโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง มีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแรง 

เกือบ 12 ปีแล้วที่ Techsauce ตระหนักว่า มีหลายสิ่งที่สามารถทำให้ระบบนิเวศเทคโนโลยีดีขึ้นและประสานงานแต่ละองค์กรเข้าด้วยกันได้ จึงก้าวเข้ามาเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงทุกคนเข้าด้วยกัน โดยมีทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ ที่มีเป้าหมายเดียวกัน มีวิสัยทัศน์เดียวกัน มาร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นประตูสู่เทคโนโลยีของเอเชียได้อย่างไร โดยในปีที่แล้ว Techsauce พูดคุยกับพันธมิตรจำนวนมากและยังทำงานร่วมกับพันธมิตรระหว่างประเทศด้วยเพื่อดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศไทย และหากสังเกตกิจกรรมมากมายภายในงาน Techsauce Global Summit 2024 จะเห็นว่าทุกกิจกรรมสนับสนุนสู่การเป็น Tech Gateway ทั้งสิ้น

เราต้องการโปรโมตประเทศสู่นักลงทุนนานาชาติ ด้วยสิทธิประโยชน์ ด้วยผลประโยชน์ที่ประเทศไทยสามารถให้ได้ เพื่อดึงดูดให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งผลลัพธ์อย่างหนึ่งที่เห็นได้จากอีเวนต์ Techsauce Global Summit 2024 คือ จะเห็นว่าเรามีโซน Pavillions ที่เหล่าสตาร์ทอัพจากเขตหรือประเทศต่างๆ มาร่วมจัดแสดงนวัตกรรมภายในงาน นั่นหมายความว่าเราดึงดูดสตาร์ทอัพและนักลงทุนมาเยือนไทยได้แล้วส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ก็อยากเห็นสตาร์ทอัพจากภูมิภาคอื่นเข้ามาเพิ่ม และไม่ใช่แค่ดึงดูดการลงทุนเท่านั้น เรายังอยากให้ต่างชาติเข้ามาเปิดบริษัทในประเทศไทยมากขึ้น และตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยก่อนขยายไปสู่ประเทศอื่นๆ ต่อไป

ในฐานะที่ Techsauce เป็น Tech Ecosystem Builder ที่สนับสนุนการเชื่อมต่อระหว่างนักลงทุนระดับโลก กับนวัตกรและชุมชนเทคโนโลยีของประเทศไทย คุณอรนุชกล่าวเพื่อกระตุ้นเรื่องการให้ความสำคัญแก่ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยว่า 

"เราต้องร่วมกันดูแลสตาร์ทอัพในประเทศไทย เพราะพวกเขายังขาดทักษะบางอย่างและไม่รู้ว่าจะตอบสนองนักลงทุนได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งที่เราพยายามทำคือ พยายามเชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับ เอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบนิเวศ โดยเราเปิดตัวโปรแกรมเพื่อเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน พัฒนาโซลูชันเพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอี โดยใช้โซลูชันของเทคสตาร์ทอัพไทย แล้วก็ช่วยให้สตาร์ทอัพเข้าไปสนับสนุนองค์กรขนาดใหญ่ เข้าไปช่วยค้นหาปัญหาที่แท้จริงขององค์กร รวมทั้งเราพยายามสร้างและช่วยเหลือในส่วนของการสร้างรายได้เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพและเอสเอ็มดีเติบโต และหลังจากนั้น หากมีศักยภาพที่จะขยายตลาดออกนอกประเทศไทย ก็จะร่วมส่งเสริมการรับรู้ทางการตลาดในภายหลัง"

เพิ่มโอกาส - เปิดตลาดใหม่ให้สตาร์ทอัพ ด้วยการส่งออกบริการและเทคโนโลยีสู่ตลาดโลก

คุณพรวิช ศิลาอ่อน รองอธิบดี กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กล่าวถึง DITP ว่า จะเชื่อมโยงและสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยมากขึ้นผ่านการจัดกิจกรรม การให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดแสดงผลิตภัณฑ์หรือบริการผ่านอีเวนต์ต่างแดน เช่นที่ Techsauce เข้าไปเจาะตลาดโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่หากสตาร์ทอัพจะนำสินค้าหรือบริการเข้าไปทำตลาด ซึ่งจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

ที่จริง DITP ไม่ได้โฟกัสแค่ตลาดในภูมิภาค แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมเข้าสู่เทคสตาร์ทอัพในโตเกียว เฮลซิงกิ มิวนิก นอกจากนี้ก็หวังจะพาเทคสตาร์ทอัพไปสร้างอิมแพ็กในตลาดโลก เพราะสตาร์ทอัพก็สามารถทำอย่างต่างประเทศไทย ทั้งการ Pitching การขายไอเดีย การปิดดีล ฯลฯ 

DITP ยังมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพในแง่ของการช่วยให้สตาร์ทอัพเข้าใจความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น และอย่างที่กล่าวไปข้างต้น DITP มีเครือข่ายการค้าที่สามารถเข้าถึงได้ 58 เขตการค้าทั่วโลก ซึ่งมีความต้องการสินค้าไทยแตกต่างกันออกไป 

มากกว่านั้น ศักยภาพของประเทศไทยยังเป็นเกตเวย์ได้ทั้งการนำเข้าและส่งออก (Inbound & Outbound) โดยในขาส่งออก ตลาดใหญ่สำหรับสตาร์ทอัพไทยก็เช่น โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ที่ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพหรือเอสเอ็มอีสามารถไปจัดแสดงสินค้า Top Thai Brand ได้ในงานแฟร์ที่นั่น เพราะชาวเวียดนามเชื่อมั่นในสินค้าไทยและสินค้าไทยสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดเวียดนามได้เป็นอย่างดี

DITP มองว่าสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ในมุมสตาร์ทอัพกับการทำความเข้าใจความต้องการในตลาดต่างประเทศ และเราก็หวังว่าจะได้เข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์สำคัญของระบบนิเวศนี้ เพื่อเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้คนในพื้นที่นี้ออกสู่ตลาดโลก

สุดท้ายนี้ การที่ธุรกิจสตาร์ทอัพสามารถทำตลาดได้แบบไร้พรมแดน สตาร์ทอัพต่างชาติก็จะได้เห็นสตาร์ทอัพไทยไปโชว์เคส ได้เห็นแพลตฟอร์มที่แตกต่าง สตาร์ทอัพไทยก็จะได้เห็นตลาดที่แตกต่าง สามารถทำธุรกิจข้ามแดนได้ หรือจะยกระดับสตาร์ทอัพไทยสู่ตลาดโลกก็ได้เช่นกัน 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Gartner เผย! AI เป็นตัวการสำคัญ ทำค่าความปลอดภัยด้านข้อมูลทั่วโลกพุ่ง 15% ภายในปี 2025

Gartner เผยผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าองค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความปลอดภัยข้อมูล (Information Security) ที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์...

Responsive image

"UOB Sustainability Compass" เครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยธุรกิจ SMEs เริ่มต้นเส้นทางความยั่งยืน

"UOB Sustainability Compass" เครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยธุรกิจ SMEs เริ่มต้นเส้นทางความยั่งยืนได้...

Responsive image

ซูชิสายพาน หนึ่งใน Game Changer ที่สำคัญของวงการอาหารญี่ปุ่น

บทความนี้ เราจะพาทุกคนย้อนกลับไปสำรวจต้นกำเนิดของซูชิสายพานที่ไม่เพียงแค่เปลี่ยนวิถีการกินซูชิของคนญี่ปุ่น แต่ยังกลายเป็นธุรกิจร้านอาหารที่ถูกใจคนไทยในยุคปัจจุบันอย่างมาก...