เทคโนโลยี Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่มาแรงอย่างมากโดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่ต้องการการถูกควบคุมจากรัฐ ผู้สนใจด้านเทคโนโลยี รวมทั้งองค์กรต่างๆ ทำให้คนหลายกลุ่มพยายามที่จะเข้ามาพัฒนาระบบนิเวศของ Blockchain (Blockchain Ecosystem) แต่ก็เกิดความล้มเหลวอย่างมากมายที่ไม่เข้าใจแก่นแท้ของเทคโนโลยี Blockchain
หลังวิกฤติการณ์การเงินระดับโลกในปี 2008 (Hamburger Crisis) ไม่นาน Bitcoin ก็ได้ถูกเปิดตัวขึ้น และถูกสนับสนุนเป็นอย่างมากจากกลุ่มที่ไม่ต้องการการควบคุมด้านการเงินจากรัฐ และนักเสรีนิยมที่ต้องการล้มเลิกการควบคุมอุปทานทางการเงินจากธนาคารกลาง
Satoshi Nakamoto และผู้สนับสนุนเงินดิจิทัลคนอื่นๆ เข้าใจในศักยภาพของ Blockchain ในพื้นฐานการทำธุรกรรมทางการเงิน แต่ก็ยังไม่ใช่จนกว่า Ethereum จะเปิดตัวในปี 2015 ว่าจะเป็นวิธีที่ Turing-complete กลายเป็นจริง
Blockchain มีลักษณะเป็นเทคโนโลยีที่อิสระ ซึ่งสนับสนุนความฝันในเรื่องสังคมที่เสรี ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็เคยอยู่ในจุดนี้กับนักอุดมการณ์ในโลกไซเบอร์ (Cyber-Utopian idealists) ในยุคต้นๆของอินเตอร์เน็ต และ world wide web มาก่อน
เช่นเดียวกับอินเตอร์เน็ตทุกวันนี้ถูกจัดการโดยผู้มีอำนาจผูกขาดแบบรวมศูนย์ (Centralized monopolies) เช่น Google, Facebook และ Amazon เทคโนโลยี Blockchain อาจส่งผลเช่นเดียวกันในอนาคต แต่จากความเป็นไปได้ทั้งหมด การออกแบบหลักและการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของ ฺBlockchain จะมุ่งไปสู่อนาคตในเชิงบวกในด้านการกระจายอำนาจของมนุษยชาติ
ระบบนิเวศ Blockchain (Blockchain Ecosystem) ถูกครอบงำโดยบริษัทแบบดั้งเดิม สถาบันการเงินและ FinTech Startups ที่ต้องการยกระดับเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน, เก็บเกี่ยวผลกำไรและสร้างอาณาจักรในการผูกขาดใหม่
กลุ่มสถาบันการเงินและสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดกว่า 80 แห่งเข้าร่วมงานเพื่อสร้างแพลตฟอร์ม Blockchain ส่วนตัวในด้านการเงินภาคเอกชนทั้งหมดภายใต้การควบคุมของธนาคาร บริษัท Fortune 500 กำลังจัดตั้งพันธมิตรทางธุรกิจขึ้นเพื่อสนับสนุน Ethereum เพื่อดำเนินการตามหน้าที่ของตนเองในการเพิ่มผลกำไรให้กับผู้ถือหุ้น
เมืองซิดนีย์ในปี 2014 ได้มีการเริ่มจัด Ethereum meetup ขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากรที่เปลี่ยนจากนักพัฒนาอนาธิปไตยไปสู่องค์กรผู้บริหารที่สวมชุดสูท Ethereum meetups พัฒนาอย่างรวดเร็วภายในสมาคมนักลงทุน สำหรับนักเก็งกำไรและการสรรหาบุคลากรระดับสูงอย่างผู้บริหารองค์กร
ในยุคของข้อมูลทุกวันนี้ รูปแบบธุรกิจพื้นฐานของบริษัทได้ลดลงไปเป็นกระบวนการง่ายๆแค่เพียงสามขั้นตอน :
Google และ Facebook มีรายได้จากการเก็บข้อมูลผู้ใช้ การผูกขาดและการจำกัดการเข้าถึง จากนั้นนำบรรจุข้อมูลใหม่และขายข้อมูลดังกล่าวในรูปแบบของบริการโฆษณาที่มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในระดับพื้นฐานรูปแบบธุรกิจนี้จะเหมือนกันกับบริษัทที่มีฐานข้อมูลอยู่แล้ว
ขณะที่เราป้อนข้อมูลเชิงลึกลงไปในชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่ใช้ในการฝึกอบรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของระบบปฏิบัติการ (ML) การผูกขาดของข้อมูลจะนำเสนอข้อได้เปรียบที่ส่งผลให้เกิดการรวมอำนาจและการรวมกิจการของความมั่งคั่งและมีอำนาจขึ้นไปอีก
เหตุผลที่บริษัทมีความสนใจเทคโนโลยี Private Blockchain เนื่องจากการมีศักยภาพในการ
เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มของการเพิ่มขึ้นของธุรกิจและดอกเบี้ยจากธนาคารกลางในเทคโนโลยี Blockchain เป็นเรื่องหลักๆ ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า น่าการยอมรับอย่างกว้างขวางครั้งแรกของ Blockchain และเงินดิจิทัลจะได้รับแรงผลักดันหลักจากสถานะเดิมที่มีอยู่และโบรกเกอร์ที่มีอิทธิพล
ประชาชนโดยเฉลี่ยจะได้รับความสะดวกสบายโดยใช้เบื้องหลังของเงินดิจิทัลในชีวิตประจำวัน ก่อนที่ Bitcoin หรือ Ether สามารถในการเข้าถึงมูลค่าตามราคาตลาด (Market caps) ที่คู่แข่งที่เล็กที่สุดสกุลเงิน fiat เมื่อคุณเปิดบัญชีธนาคารวันนี้ พนักงานรับฝาก-ถอนเงินในธนาคารไม่ต้องอธิบายเทคโนโลยีทั้งหมดและกระบวนการของธุรกรรมที่สำคัญของธนาคาร และในอนาคตอันใกล้นี้ ธนาคารเดียวกันจะไม่อธิบายว่าเงินของคุณเป็นสกุลเงินดอลลาร์ที่ใช้งานได้จริงกับกลุ่มพันธมิตรธนาคารเอกชนอย่างไร ส่วนใหญ่จะไม่รู้จักหรือไม่ใส่ใจ
ในอีกไม่กี่ปีนี้ ประชาชนส่วนใหญ่จะโต้ตอบกันด้วย smart contracts และ dapps อย่างสะดวกสบายโดยไม่รู้ตัว
ทำไมล่ะ? เพราะเมื่อเทคโนโลยีโตเต็มที่ ทั้งธนาคารและบริษัทต่างมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจเพื่อยกระดับเทคโนโลยีในการลดต้นทุนการดำเนินงานโดยอัตโนมัติและกระจายอำนาจการดำเนินงานของพวกเขาออกไป
Dapps, smart contracts และ DAOs (decentralized autonomous organizations) มีศักยภาพในการลดโครงสร้างพื้นฐาน เช่น แรงงาน และต้นทุนการดำเนินงานของทุกบริษัทที่ใกล้จะเป็นศูนย์
แน่นอนว่าบริษัทเหล่านี้กำลังลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งเป็นต้นเหตุของภัยอันตรายที่จะมีผลกระทบต่อคนอื่นด้วย เมื่อพวกเขาได้กระจายอำนาจอย่างเป็นส่วนตัวออกไป สิ่งที่เหลือก็คงจะมีแค่แบรนด์ของพวกเขาเอง, User Interface(UI)และความต้องการความไว้วางใจในการส่งมอบผลกำไรให้กับผู้ถือหุ้น
บางทีนั่นอาจเพียงพอสำหรับลูกค้าในการจ่ายค่าเบี้ย หรือบางทีลูกค้าอาจเปลี่ยนไปทำกับ DAO สาธารณะกับความไม่ต้องการผลกำไร ซึ่งเสนอบริการเดียวกัน (หรือดีกว่า) ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ามาก
เทคโนโลยี Blockchain เปรียบได้กับ crypto trojan horse เลยทีเดียว
บริษัทและธนาคารกำลังต้องการ Blockchain เพราะว่าพวกเขาสามารถควบคุมข้อมูลและรักษากรรมสิทธิ์ในการปิดรหัสของแหล่งที่มา กลยุทธ์นี้จะได้ผลอย่างแน่นอนในระยะเวลาที่พวกเขาต้องการ แต่สุดท้ายแล้วข้อมูลคงจะต้องถูกปล่อยออกไปอยู่ดี ผลกระทบที่มีต่อเครือข่ายของโปรโตคอล์(Protocol)ทางด้าน Blockchain แบบที่เปิดสาธารณะจะมีมากกว่าแบบเอกชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มุมมองของบริษัททุกวันนี้ ถูกกำหนดให้ต้องคิดโดยคำนึงถึงความขาดแคลนและการควบคุมรูปแบบเอกสิทธิ์ (ownership models) ซึ่งทำให้พวกเขาตกเป็นเป้าหมายที่ง่ายต่อการทำให้เสียระบบ
https://youtu.be/G3psxs3gyf8
ถ้าคุณเป็นพอร์ทัล (Portal) หรือบริษัทจัดการข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คุณต้องสร้างระบบ blockchain ส่วนตัวในประเทศของคุณเพื่อเก็บข้อมูล และดำเนินการ dapps แบบแหล่งข่าวปิด คุณจะต้องสร้างคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดาซึ่งช่วยให้ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์, ทนายความ, ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถโต้ตอบและการทำธุรกรรมได้ (มีค่าใช้จ่าย) จากนั้นคุณต้องสร้างกลุ่มสถาบันการเงินหรือหุ้นส่วนกับคนในอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อพัฒนา blockchains เอกชน สำหรับจัดการสิ่งต่างๆ เช่น ที่ดินและกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น
ในขณะเดียวกัน โปรแกรมเมอร์เดี่ยวสามารถพัฒนา Blockchain Protocol แบบสาธารณะที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินทั่วโลกทั้งหมดโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและเข้าถึงได้ทั่วโลก นอกจากนี้เธอยังได้พัฒนา Smart Contracts แบบ Opensource ซึ่งช่วยให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถทำธุรกรรมและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือทรัพย์สินได้อย่างปลอดภัยด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว โดยที่การทำงานของมันมีความสมบูรณ์แบบเหมือนกับถูกเขียนโปรแกรมขึ้นใหม่ในทุกๆ ครั้ง เธอคิดค่าบริการเล็กๆน้อยๆซึ่งแทบจะไม่ได้กำไรเลย เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในด้านระบบคอมพิวเตอร์ (น้ำมัน) ใครก็ตามที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต สามารถเข้าถึงและใช้โปรโตคอล(Protocol)ได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องลงทะเบียนหรือขออนุญาต
รูปแบบธุรกิจที่จัดการความขาดแคลนเทียมก็ไม่สามารถอยู่ควบคู่ไปกับความเป็นจริงของ Blockchains แบบสาธารณะได้ แม้ว่าจะพยายามที่จะปรับใช้ (deploy) โปรโตคอลแบบมีกำไรเข้ามาเกี่ยวข้องใน Blockchain แบบสาธารณะ การเขียนโปรแกรมแบบละเลยก็ถูกแบ่งปันต้นฉบับ (opensource) อยู่ดี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าเบื่อที่จะต้องมาคัดลอกโค้ด ลดค่าธรรมเนียมแล้วมาปรับใช้อีกครั้ง (redeploy)
ไม่มีใครเป็นเจ้าของหรือควบคุม Blockchain แบบสาธารณะ และมันก็จะไม่มีวันปิดด้วย Smart contracts ไม่จำเป็นต้องมีเจ้าของหรือคนคุม และดำเนินการตามเหมือนเขียนโปรแกรมใหม่ทุกครั้ง
ผลลัพธ์ที่ได้คือ Blockchain เป็นทรัพยากรสากลที่ทำให้ Business Model ที่ล้าสมัยเปลี่ยนไปสู่กระบวนทัศน์พื้นฐานที่จะสร้างคุณค่าให้แก่มวลมนุษยชน
ถ้าคุณต้องการที่จะเปลี่ยนโลกโดยการใช้ Blockchain ทุกอย่างมันคือการสร้าง Open Protocol ไม่ใช่แค่ Startup อีกอัน ในช่วงแรกๆที่อินเตอร์เน็ตพึ่งเข้ามา มีหลายกลุ่มแข่งขันกันเพื่อสร้าง Open Communication Protocols แต่ส่วนใหญ่ก็ล้มเลิกไป ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จเป็นต้นแบบโปรโตคอลแบบมาตรฐาน (Standard Protocols) ที่มีอิทธิพลในโลกอินเทอร์เน็ตปัจจุบัน เช่น TCP / IP, DNS, HTTP เป็นต้น
โปรโตคอลเหล่านี้มีอิสระและเป็นสากล ส่งผลให้เรารักในโลกอินเตอร์เน็ต ระบบนิเวศ Blockchain (Blockchain Ecosystem) ในวันนี้ยังคงเป็นเหมือนกับวันแรกๆ ในการพัฒนาอินเทอร์เน็ต ขณะนี้หลายพันโครงการกำลังแข่งขันกันพัฒนาโปรโตคอลมาตรฐานตามด้านล่างนี้และอื่นๆ อีกมากมาย
เมื่อโปรโตคอลเหล่านี้เข้าที่แล้ว กุญแจสำคัญในการสร้างคุณค่าคือการจินตนาการอนาคตซึ่งข้อมูลทั้งหมดเป็นข้อมูลอิสระ สาธารณะและเป็นสากล ที่ความมั่งคั่ง อำนาจและการคำนวณคอมพิวเตอร์เป็นทรัพยากรที่กระจายอยู่ทั่วไปถ้าคุณเลือกที่จะเริ่มต้นกับผู้เช่าเหล่านี้แล้ว ให้ลองจินตนาการสิ่งที่องค์กรใหม่จะผลิต ทั้งผลิตภัณฑ์และบริการว่าสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กรใหม่นี้ได้หรือไม่?
แต่ละอุตสาหกรรมและระบบในสังคมทั่วโลกของเราจะรวมตัวกันเป็นโปรโตคอล Public Blockchain แบบหนึ่งเดียว
แทนที่แต่ละบริษัทประกันภัยกว่า 10,000 แห่งนี้จะมีหน้าที่ในธุรกิจของตนเอง เราจะมีโปรโตคอลการประกันภัยแบบกระจายอำนาจแบบสากลหนึ่งเดียวไปเลย แทนที่ social network หลายพันแห่งจะต้องแยกข้อมูลผู้ใช้และเพื่อนในระบบเป็นของตัวเอง เราจะมีโปรโตคอลกระจายอำนาจสากลอันเดียวเพื่อรวมข้อมูลทางโซเชียลทุกอย่างไว้
จากมุมมองของรูปแบบธุรกิจ มันจะเปลี่ยนจากการขาดแคลนไปสู่ความอุดมสมบูรณ์ อุปสรรคในการเป็นคู่แข่งจะหายไป เนื่องจากทุกอย่างจะกลายเป็นข้อมูลอิสระและสามารถเข้าถึงได้ทั่วไป ต้นทุนของการเปลี่ยนการใช้งาน (User-switching cost) ก็จะหายไปเนื่องจากสามารถโอนข้อมูลไปยังบริการอื่นได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาติดตั้ง
ผลิตภัณฑ์และบริการที่เน้นไปที่การเพิ่มประสบการณ์การใช้งานในเชิงบวก และสามารถเสนอให้การปรับแต่งให้สมบูรณ์และคาดการณ์ได้จะเจริญเติบโต กำไรและตัวชี้วัดการเจริญเติบโตของผู้ใช้งาน (user growth metrics )จะมากเกินไป สิ่งที่สำคัญและมีผลจริงๆคือความพึงพอใจของผู้ใช้
องค์กรที่ยกระดับจากประโยชน์การทำงานร่วมกันของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความซับซ้อน (emergent complexity) จะสามารถพัฒนาผลตอบรับระหว่างผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนเองกับผู้ใช้ได้ การทำเช่นนี้จะทำให้ความแปลกใหม่และผลิตภัณฑ์พัฒนาอย่างรวดเร็วและเป็นอิสระ ควบคู่ไปกับการทดสอบ A / B ขั้นสูง (Advanced A/B Testing) เพื่อให้ทันต่อทุกปัญหาในด้านการแข่งขันตลอดเวลา
ในโลกแห่งความเป็นจริงจะเห็นได้ชัดเจนว่าอำนาจค่อยๆเปลี่ยนไปสู่ผู้ใช้แต่ละคนมากขึ้นเรื่อยๆ ทางเลือกของผู้คนจะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ทั้งหมด ผลิตภัณฑ์ บริการและหน่วยงานที่ให้ผลประโยชน์ทางสังคม เช่นการกระจายรายได้พื้นฐานสากล การกระจายอำนาจด้านสาธารณสุขสากล และกระจายอำนาจด้านที่อยู่อาศัย จะเป็นที่นิยมมากขึ้น และก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวด้านการกระจายอำนาจทางสังคม (social decentralism movement) รวมทั้งโครงการต่างๆ เช่นงานของฉัน: Peerism
ถ้าในอนาคตเรื่องของความเป็นไปได้ เรื่องของความไม่แน่นอนแล้วนั้น อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ Blockchain แบบสาธารณะออกแบบมาเพื่อให้ผ่านจุดเริ่มต้นไปได้อย่างไม่ท้อถอย ซึ่งจะมาพร้อมๆกับอนาคตดีๆ ที่ทุกคนต้องการจะใช้ชีวิตอยู่
ที่มาของภาพและเนื้อหา : Nathan Waters
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด