บทความนี้เรียบเรียงข้อมูลจาก Bloomberg และ Financial Times
"หนูตัวเล็กเกินไปที่จะสู้กับพวกเขา" หญิงวัย 31 ปีจากจังหวัดเจ้อเจียง ในประเทศจีน เขียนจดหมายถึงพ่อแม่ของเธอเมื่อต้นเดือนกันยายน หลังจากสูญเสียเกือบ 40,000 เหรียญสหรัฐฯ เมื่อบริษัทที่ให้กู้ยืมแบบ Peer-to-Peer (P2P Lending) ผ่านออนไลน์ได้ล้มละลายลง
P2P ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐก็หลบหนี ผู้ถือหุ้นก็ไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบใดๆ ส่วนเจ้าหน้าที่สอบสวนก็ไม่ดำเนินการอะไรต่อ หนูรู้สึกเหนื่อยมาก และไม่เห็นความหวังใดๆ เลย - หญิงวัย 31 ปี กล่าว
หลังจากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวก็แขวนคอตัวเอง จนเสียชีวิตในเวลาต่อมา
"อย่าเศร้าไปเลย" ข้อความของเธอกล่าวถึงพ่อแม่ "หนูแค่กำลังหนีออกมา แต่พ่อแม่ยังต้องมีชีวิตต่อไป หนูแค่สูญเสียความเชื่อมั่นต่อชีวิตในสังคมนี้ หนูไม่ได้กลัวความตาย แต่หนูกลัวการมีชีวิตอยู่"
เรื่องราวการเสียชีวิตและจดหมายของเธอได้เผยแพร่ในกลุ่มสนทนาบนเครือข่ายโซเชียลมีเดียชื่อดังในจีนอย่าง Weibo ไปเป็นที่เรียบร้อย
P2P Lending ในจีนเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ร้ายแรงขนาดนี้จริงหรือไม่?
การกู้ยืมเงินผ่านออนไลน์ในประเทศจีนได้รับความนิยมมากขึ้นหลังจากการปรับลดเครดิตธนาคารในปี 2553 ตามด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจใช้เกิดการใช้จ่ายในช่วง 2 ปีหลังจากนั้นเพื่อต่อต้านวิกฤติการเงินโลก ต่อมาในปี 2555 ปริมาณสินเชื่อรวมก็หล่นมาอยู่ที่ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ซึ่งหลังจากนั้น คุณก็สามารถคู่อีกคนที่จะมาร่วมลงทุนในงานแต่งานได้ โดยคุณสามารถกู้เงินมาจ่ายค่าจัดเลี้ยงและการไปฮันนีมูนก่อนได้ หลังจากนั้นคุณก็เอาเงินสินสอดที่ได้จากงานแต่งไปคืนได้ในภายหลัง และยังมีภาคธุรกิจขนาดเล็กก็ต่างแสวงหาเงินกู้ยืมเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ โดยเปิดให้จ่ายเงินคืนเมื่อการผลิตเพิ่มขึ้น
รวมถึงดึงให้ดูดคนทั่วไปที่มีเงินในมือ สามารถปล่อยกู้แบบตัวต่อตัวได้มากถึง 50 ล้านคน ซึ่งพวกเขาได้รับผลตอบแทนมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ยอดการลงทุนเพื่อปล่อยกู้รวมเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ปัจจุบัน P2P เสนอการลงทุนในรูปแบบ "ตั๋วเงินพาณิชย์" (Commercial Bill) หรือ "คำรับรองจากจากนายธนาคาร" (Bankers’ Acceptances) เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็เหมือนกับพันธบัตรระยะสั้นที่ออกโดยธุรกิจขนาดเล็ก โดยตั๋วเงินดังกล่าวออกโดยบริษัท และมีธนาคาร(ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกรรมในภาคธุรกิจ)เป็นผู้รับรอง
โดยตั๋วเงินดังกล่าวสามารถขายให้กับสถาบันการเงินอื่นๆ หรือธนาคารกลางก่อนครบกำหนดได้ ซึ่งบางกรณีมีคนถูกหลอกลวงผ่าน P2P Platform โดยนักลงทุนบางคนได้รับตั๋วเงินปลอมและไม่ได้รับเงินตามที่กำหนดไว้
"ความเสี่ยงบนแพลตฟอร์มจำนวนมากเหล่านี้ ไม่ได้ถูกสื่อสารออกไปให้ถึงนักลงทุนได้มากพอ" Zennon Kapron เตือน พร้อมกล่าวว่านอกจากนี้ยังกล่าวว่าผู้ที่อ้าง "การรับประกันผลตอบแทนและเงินต้น" ซึ่งเป็นข้อเสนอทั่วไปสำหรับนักลงทุน แต่ต้องรู้ด้วยว่า "มันไม่ยั่งยืน"
แน่นอนว่ารัฐบาลจีนก็พยายามขยายการควบคุมธุรกิจที่ไม่ได้อยู่ใต้การควบคุมของรัฐให้มากขึ้น ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่ไม่ได้เป็นธนาคารแบบดั้งเดิม (Traditional Banking) จะถูกเรียกว่าเป็น 'ธนาคารเงา' (Shadow Bank) โดยหน่วยงานที่กำกับดูแลภาคธนาคารในจีนก็เตือนด้วยว่าผู้ที่ปล่อยเงินผ่านเว็บไซต์ที่ให้บริการกู้เงิน P2P มีความเสี่ยงที่เงินตัวเองทั้งหมดจะสูญหายได้
ที่สำคัญ ถึงแม้ว่าปัญหาของแพลตฟอร์ม P2P ทั้งหมดจะไม่ได้มาจากการฉ้อฉลหรือหลอกลวง แต่ทางการก็ระบุว่าเว็บไซต์ที่ล้มละลายไปส่วนมากมีลักษณะ "นำเงินมาหมุน" หรือเป็น "Ponzi Scheme" (รูปแบบการลงทุนที่มีการจ่ายผลตอบแทนที่สูงผิดปกติ เงินที่ได้มาจากเงินลงทุนของสมาชิกรายใหม่)
พอดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาเป็นเหยื่อได้จำนวนหนึ่ง ก็จะทำการปิดตัวพร้อมเชิดเงินที่เราฝากไว้หนีหายไปกับสายลม
ผู้คนนับร้อยชีวิตระบุว่าเป็นเหยื่อของบริษัท P2P Lending อย่าง PPMiao ซึ่งเจ้าเดียวกับที่หญิงสาววัย 31 ปีได้ประสบพบเจอ โดยพวกเขาได้เดินเข้ามาที่นครเซี่ยงไฮ้เพื่อประท้วงในช่วงเดือนสิ่งหาคมที่ผ่านมา โดยพวกเขาเจอเพียงแค่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่หน้า International Finance Center บริษัทที่เชื่อมต่อกับผู้กู้เงินที่มีสำนักงานชัดเจน
"เราสูญเสียทุกอย่าง และผมมีค่าเล่าเรียนของลูกชายวัย 3 ขวบที่กำลังจะเข้าเรียนในระดับอนุบาล ซึ่งใกล้ถึงกำหนดชำระในเดือนหน้าแล้ว" โดยรู้แค่ว่าเขาชื่อ Chen เป็นผู้กล่าวประโยคนี้ขึ้นมา หลังจากนั้นตำรวจควบคุมตัว Chen และส่งเขากลับไปยังบ้านเกิดที่มณฑลเจียงซี ใช้เวลา 14 ชั่วโมงในการเดินทางด้วยรถไฟ
ซึ่งแน่นอนว่ายังมีผู้เสียหายจากการล้มละลายของ PPMiao อีกนับ 4,000 ราย คิดเป็นมูลค่ารวม 117 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยังมีคนอีกจำนวนที่เดินทางเข้ามาในเมืองสำคัญๆ ในจีนเพื่อขอรับการชดใช้ความเสียหาย
สัญญาณที่บ่งชี้ว่าบริษัท PPMiao กำลังจะไปไม่รอด เกิดขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคมที่ผ่านมา โดยบริษัทดังกล่าวเปลี่ยนที่อยู่หางโจว ย้ายมาอยู่ในพื้นที่พัฒนาที่อยู่อาศัยที่เมืองหนาหนิง ซึ่งห่างออกไป 900 ไมล์ โดยอยู่ติดชายแดนประเทศเวียดนาม และีอกสัญญาณสำคัญเกิดขึ้นในวันที่ 6 สิงหาคม 2561 บริษัทระบุว่าจะหยุดการจ่ายเงินให้กับนักลงทุนและประกาศยุติการให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม P2P แต่ก็ยังระบุว่าจะคืนเงินให้กับนักลงทุนภายในระยะเวลา 3 ปี
"เราพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้น เราสัญญาว่าเราจะไม่หนีไปไหน เราจะยังคงติดต่อกันได้อยู่ เราจะคืนเงินลงทุนให้กับทุกคนแบบตัวต่อตัว" PPMiao กล่าวในแถลงการณ์ โดยผู้ที่บริษัทติดหนี้ไว้น้อยกว่า 1,500 ดอลลาร์ส่วนใหญ่ได้รับเงินคืนแล้ว แต่จากการตรวจสอบด้วยการโทรไปยังเบอร์ที่ระบุไว้ในเอกสารฉบับหนึ่ง กลับได้รับเป็นสัญญาณตอบรับอัตโนมัติเพียงอย่างเดียว
Yingcan Group บริษัทด้านการวิจัยข้อมูลในเซี่ยงไฮ้ ระบุว่า มีผู้ใช้บริการ P2P Lending ที่ปิดกิจการไปมากกว่า 400 แห่งแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ก็มีอยู่ที่ประมาณ 1,800 แห่ง ส่วน China International Capital คาดการณ์ว่าจะเหลือเพียง 200 แห่งหลังจากเกิดการเป็นล้มเป็นโดมิโนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบนี้
Zennon Kapron กรรมการผู้จัดการ Kapronasia บริษัทด้านให้คำปรึกษาในเซี่ยงไฮ้กล่าวว่า
น่าตกใจอย่างยิ่งที่มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เราคิดว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการไกล่เกลี่ยและประนีประนอมอันแสนยุ่งเหยิงในอุตสาหกรรม P2P
ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจของจีนที่เติบโตรวดเร็ว แม้จะมีข่าวที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่คนรุ่นใหม่ก็ยังพยายามวิ่งหนีจากวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของคนจีนรุ่นเก่า ด้วยการกู้เงินมาจับจ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยได้สะดวกยิ่งขึ้น
หนึ่งในวิธีการกู้ที่วัยรุ่นจีนนิยม คือ P2P Lending หรือ ระบบสินเชื่อออนไลน์ที่เปิดกว้างให้เด็ก ๆ สามารถกู้ยืมเงินได้ง่ายขึ้น โดยเป็นการปล่อยกู้ตรงระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ โดยไม่ต้องมีธนาคารเป็นตัวกลาง ต่างจากการกู้ผ่านธนาคารแบบเดิมที่ต้องการขอเอกสารเป็นจำนวนมาก และไม่ใช่การปล่อยกู้จากหลักทรัพย์ค้ำเหมือนรูปแบบดั้งเดิม
ซึ่งผู้ให้บริการอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลจากพฤติกรรมต่างๆ ของลูกค้า, การจับจ่ายใช้สอย, ความตรงต่อเวลาในการจ่ายหนี้ ฯลฯ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่มีช่องทางกู้เงินออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นมากนับ 100 ราย
ผลสำรวจจากธนาคารเพื่อการลงทุนของจีน (Chinese Investment Bank: CICC) ระบุว่า เมื่อปีที่แล้วยอดคงค้างของสินเชื่อเพื่อการบริโภค (Consumer Loans) ของจีนเติบโตถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ปี 2560 ที่ผ่านมามูลค่าหนี้ครัวเรือนของจีนสูงถึง 33 ล้านล้านหยวน คิดเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ซึ่งตัวเลขนี้ถือว่าสูงกว่าปี 2554 ถึง 2 เท่า
ส่วน Diyiwangdai (ตียีหวังไต๋) บริษัทผู้ให้บริการด้านการติดตามอุตสาหกรรมในจีนยังระบุด้วยว่า ปีที่แล้วยอดสินเชื่อคงค้างใน P2P Lending มีอยู่ประมาณ 1.2 ล้านล้านหยวน ทั้งที่อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยสูงถึง 37 เปอร์เซ็นต์และยังมีค่าปรับเพิ่มหากจ่ายเกินเวลากำหนด
ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์บางคนก็กังวลว่า การสร้างหนี้ครัวเรือนจะส่งผลต่อการเติบโตของการบริโภคในระยะยาว เนื่องจากผู้บริโภคหันมาหารายได้เพิ่มขึ้นเพื่อการชำระหนี้เท่านั้น ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้โดยรวมของผู้บริโภคส่วนใหญ่จะทำให้เกิดความกดดันต่อผู้ให้กู้เงินซึ่งมีความเสี่ยงที่จะล้มละลาย และกลายเป็นเกิดวิกฤติทางการเงินในอนาคตได้
เรียบเรียงข้อมูลจาก Bloomberg และ Financial Times
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด