ปี 2025 เรียกได้ว่าเป็นปีที่วงการเทคโนโลยีเงินสะพัดแบบฉุดไม่อยู่ ล่าสุด Nvidia เจ้าพ่อชิป AI ประกาศเทงบอีก 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าลงทุนใน Synopsys ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ออกแบบชิป กลายเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้ภาพรวมการลงทุน AI ปีนี้ดุเดือดเลือดพล่านที่สุดในประวัติศาสตร์
นับเป็นปีที่เม็ดเงินลงทุนด้าน AI กำลังหมุนเวียนอย่างบ้าคลั่ง ข้อมูลจาก UBS ชี้เป้าว่า สิ้นปีนี้ทั่วโลกจะมีการใช้จ่ายด้าน AI (รวมทั้ง Infrastructure และค่าไฟ) สูงถึง 3.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีโอกาสที่จะทะยานแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ภายในปี 2030
ในบทความนี้ Techsauce จึงพามาดู 17 อันดับ Big Deal AI ที่ใหญ่ที่สุดของปี 2025 นี้กัน !

มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เปิดหัวด้วยดีลระดับครึ่งล้านล้าน ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศดึง OpenAI, SoftBank และ Oracle สร้างโปรเจกต์ใหม่ที่เรียกว่า Stargate เพื่อทำโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ คาดสร้างงานได้เป็นแสนตำแหน่ง
มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Wall Street Journal รายงานดีลช็อกโลกว่า OpenAI เซ็นสัญญาจองพลังการประมวลผล (Computing Power) ล่วงหน้า 5 ปีกับ Oracle มูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อแลกกับกำลังไฟ 4.5 กิกะวัตต์ แสดงให้เห็นว่าปัญหาคอขวดของ AI คือ ไฟฟ้า
มูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
พันธมิตรเลือดสาบาน Nvidia ประกาศลงทุนกลับใน OpenAI ถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ เป็นการการันตีว่า OpenAI จะยังคงเป็นลูกค้าเบอร์หนึ่งที่ใช้ระบบของ Nvidia อย่างน้อย 10 กิกะวัตต์ในการเทรนโมเดล
มูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Amazon ไม่ยอมตกขบวน ประกาศอัดฉีดงบ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสร้าง Data Center และ Supercomputer เพื่อให้บริการลูกค้าหน่วยงานรัฐบาลกลางโดยเฉพาะ
มูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
คู่แข่งเบอร์หนึ่งของ ChatGPT อย่าง Anthropic ประกาศแผนสร้าง Data Center ของตัวเองในเท็กซัสและนิวยอร์ก มูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยคาดว่ามีการเตรียมจ้างงานก่อสร้างกว่า 2,000 อัตรา
มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรํฐฯ
Financial Times รายงานว่า Oracle จะซื้อชิป AI ของ Nvidia มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อขับเคลื่อน Data Center ของ OpenAI ในเมือง Abilene รัฐเท็กซัส ซึ่งเชื่อว่าเป็นโปรเจกต์แรกภายใต้โครงการ Stargate
มูลค่า 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากจับมือ Microsoft แล้ว OpenAI ยังกระจายความเสี่ยงไปจับมือ Amazon ด้วยดีล 7 ปี มูลค่า 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์ แลกกับการเข้าถึง GPU Nvidia จำนวนมหาศาลบน AWS
มูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Oracle เปิดเผยในเอกสารที่ยื่นต่อก.ล.ต. สหรัฐฯ ถึงข้อตกลงบริการ Cloud ขนาดใหญ่หลายรายการ โดยหนึ่งในนั้นมีมูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งภายหลังเปิดเผยว่าเป็นดีลกับ OpenAI
มูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยในดีลนี้ Nvidia และ Microsoft จะลงทุนใน Anthropic เป็นเงิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ
มูลค่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Google ประกาศแผนลงทุน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ใน Data Center และโครงสร้างพื้นฐาน AI ในอีก 2 ปีข้างหน้า เพื่อขยายขีดความสามารถด้านพลังงานและนวัตกรรม
มูลค่า 2.24 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
CoreWeave ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน Cloud ขยายดีลบริการกับ OpenAI เพิ่มอีก 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้มูลค่ารวมของพาร์ทเนอร์ชิปพุ่งแตะ 2.24 หมื่นล้านดอลลาร์สหรับฯ
มูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ผู้บริหาร Oracle ยืนยันดีล Cloud Computing กับ Meta มูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับการเทรนและ Deploy AI Models ของ Meta
มูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทรัมป์ประกาศว่า Intel ตกลงให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถือหุ้น 10% คิดเป็นมูลค่าราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้รัฐบาลกลางกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ของ Intel (เกิดขึ้นหลังจากทรัมป์เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ซีอีโอ Intel ลาออก)
มูลค่า 6.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
CoreWeave ระบุในเอกสารว่า Nvidia ตกลงซื้อบริการ Cloud มูลค่าราว 6.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จนถึงปี 2032 โดย Nvidia จะรับซื้อ Cloud Computing ส่วนเกินที่ลูกค้าไม่ได้ใช้งาน
มูลค่า 6.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
New York Times รายงานว่า Jeff Bezos จะนั่งแท่น Co-CEO ร่วมกับ Vik Bajaj (อดีตผู้บริหาร Google X) ในสตาร์ทอัพ AI ชื่อ Project Prometheus ซึ่งได้รับเงินทุน 6.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Nvidia ประกาศลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ใน Synopsys ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพาร์ทเนอร์ชิปหลายปี ให้ Synopsys ใช้เทคโนโลยีของ Nvidia พัฒนาซอฟต์แวร์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ จับมือกับ AMD พัฒนา Supercomputer พลัง AI สองเครื่อ มูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์ เครื่องแรกชื่อ Lux จะเริ่มใช้งานใน 6 เดือนข้างหน้า ส่วนเครื่องที่สอง Discovery มีกำหนดเสร็จปี 2029
หากกวาดตาดูรายชื่อ 17 ดีลข้างบน แล้วเกิดความรู้สึกว่า ทำไมชื่อบริษัทมันวนเวียนอยู่แค่แก๊งเดิม ๆ ? นั่นเป็นเพราะสิ่งที่คุณเห็นไม่ใช่แค่ความร่วมมือธรรมดา แต่มันคือปรากฏการณ์ที่ Wall Street เรียกว่า The Web of Circular Deals หรือเครือข่ายการลงทุนแบบงูกินหาง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลที่สุดในเวลานี้ เพราะมันอาจกำลังสร้างภาพลวงตาของการเติบโตที่ใหญ่เกินความจริง ซึ่งกลไกกระเป๋าซ้ายเข้ากระเป๋าขวา กรือ Revenue Round-Tripping ทำงานแบบนี้
ยกตัวอย่างกรณีศึกษาของ Nvidia และ CoreWeave (สตาร์ทอัพ Cloud ที่มาแรงที่สุดตอนนี้)
ซึ่งในปัจจุบัน The Multi-Layer Loop ไม่ได้จบแค่คู่เดียว อาทิ CoreWeave เมื่อมีชิปแล้ว เอาไปให้ใครเช่า ? คำตอบคือ Microsoft และ OpenAI
ต่อมาด้าน Nvidia และ Microsoft เองก็เป็นคนลงทุนรายใหญ่ใน OpenAI นั่นก็อาจะสังเกตได้ว่า OpenAI ก็เอาเงินลงทุนพวกนี้ มาจ่ายค่าเช่า Cloud ให้ CoreWeave และ Microsoft
สิ่งที่น่ากลัวมันเลยเป็นเงินลงทุนมหาศาลที่เห็นในข่าว มันไม่ได้กระจายออกไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) มากนัก แต่มันไหลเวียนอยู่ในระบบปิดระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่ราย เหมือนเพื่อน 4 คนนั่งเล่นไพ่ แล้วเงินกองกลางดูเยอะมาก แต่จริงๆ คือเงินที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะวนอยู่ในวงเดิม
เพราะถ้าเรามองดูดีๆ ตัวเลขรายได้ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด มันเกิดจากการที่บริษัท Tech ขายของให้บริษัท Tech ด้วยกันเอง เพื่อเอาไปสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แต่มันยังขาดจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่สุดคือ ผู้ใช้งานจริง เช่น บริษัททั่วไปที่ยอมจ่ายเงินแพงๆ เพื่อใช้ AI หรือผู้บริโภคที่ยอมจ่ายรายเดือนเพื่อใช้ Chatbot
ถ้าคนจ่ายเงินปลายทางเหล่านี้มีไม่มากพอ... วันหนึ่งเมื่อเงินลงทุนจาก VC หรือเงินจากบริษัทแม่หมดลง วงจรการซื้อขายกันเองนี้จะหยุดชะงัก งานวิจัยของ MIT ที่ไปสำรวจโปรเจกต์ AI กว่า 300 แห่ง แล้วพบความจริงที่น่าตกใจว่า 95% ของโปรเจกต์ AI ยังไม่สามารถทำกำไรได้จริง
แม้ว่าโลกธุรกิจจะทุ่มเงินลงทุนไปแล้วรวมกว่า 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เงินส่วนใหญ่ละลายไปกับค่า Infrastructure, ค่าไฟ และค่าชิป โดยที่ยังหา Business Model ที่ทำเงินจากผู้ใช้ทั่วไปได้ไม่คุ้มทุน
หลายคนเลยกังวลว่ามันจะเกิดภาพซ้อนทับ Dot-com Bubble หรือตอนยุคฟองสบู่ดอทคอม ที่บริษัทอินเทอร์เน็ตเอาเงินลงทุนไปลงโฆษณากับเว็บอินเทอร์เน็ตด้วยกันเอง เพื่อปั่นยอด Traffic และรายได้ให้ดูดี แต่สุดท้ายเมื่อหาลูกค้าจริงๆ ไม่เจอ และนั่นคือวันที่ฟองสบู่แตก
อ้างอิง: forbes
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด