เปิดงานแล้วอย่างยื่งใหญ่สำหรับงาน Techsauce Global Summit 2019 ซึ่งครั้งนี้นอกจากการนำเสนอด้านเทคโนโลยีกับธุรกิจแล้ว ยังให้ความสำคัญกับ Impact ทางสังคมจากเทคโนโลยีที่ชัดเจนขึ้น
เริ่มต้นงานด้วยประเด็นร้อนแรงอย่าง Artificial Intelligence และ Robotic อันเป็นเทคโนโลยีที่กำลังจะเข้ามามีผล Workforce โดยตรง ซึ่งในปีนี้ เราได้รับเกียรติจาก Expert ด้าน AI ระดับโลกตัวจริงอย่าง Martin Ford นักอนาคตและนักเขียนด้านเทคโนโลยีชั้นนำ กับ Session เปิดงานอย่าง “The Coming Disruption: What Everyone Must Know About AI and Robotics”
Martin Ford กล่าว่า แนวคิดการทำงานแบบ Automate มีมาตั้งแต่ยุคปี 1960 ซึ่งในเวลานั้นก็มีความกังวลเรื่องระบบอัตโนมัติจะทำให้คนตกงาน แต่อันที่จริงแล้ว คนก็ไม่ได้ตกงานเพิ่มขึ้น แต่กลับทำให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ คนยังใช้ชั่วโมงทำงายเท่าเดิมแต่กลับได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ในระยะเวลา 40 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะมีปัจจัยการพัฒนาด้วยกัน 3 ข้อ ได้แก่
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอันใกล้ หุ่นยนต์จะไม่ได้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นตัวบั่นทอนเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม เนื่องจากหุ่นยนต์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นจึงทำให้ผลิตผลเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งหุ่นยนต์ไม่จำเป็นต้องบริโภค จึงอาจส่งผลให้ผลผลิตล้นเกิดความต้องการของตลาด
อีกปัญหาหนึ่งที่น่ากังวลคือ AI กับ Impact ที่มีต่ออาชีพการงานของมนุษย์ แม้ว่าการพัฒนาพัฒนาเทคโนโลยีจะนำไปสู่อาชีพใหม่อย่างเช่น Internet ทำให้เกิดอาชีพ Web Designer แต่ AI จะทำให้เกิดอาชีพใหม่ที่ต้องการทักษะใหม่ๆ ซึ่งระบบการศึกษาและฝึกอาชีพแบบเดิมยังไม่รองรับในส่วนนี้เท่าที่ควร
การเข้ามาของระบบ Automation ทำให้เกิดการใช้งานหุ่นยนต์ในงานต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นแขนกลยกของที่สามารถยกย้ายกล่องได้ด้วยความเร็ว 1 กล่องต่อวินาทีโดยไม่มีอาการเหนื่อยล้า แน่นอนว่าแขนกลดังกล่าวเข้ามาทดแทนคนยกของโดยตรง ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่คนยกของซึ่งเป็นแรงงานกลุ่ม Blue Collar เท่านั้นที่ถูกทดแทน แต่แรงงงานกลุ่ม White Collar ยังถูก Software ด้านการปฏิบัติงานขององค์กร ซึ่งทำให้จำนวนพนักงานบริษัทลดจำนวนลงกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ปี 2004 ถึงปี 2014
นี่เป็นเพียงตัวเลขผลลัพธ์จาก Software จัดการ Operation เท่านั้น ดังนั้น หาก AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงมนุษย์เข้ามาในกระบวนการผลิต ก็จะยิ่งส่งผลรุนแรงกว่านี้ในอนาคตแน่นอน
หลายคนมองว่า AI จะช่วยกระตุ้นตลาด เพราะความสามารถการผลิตที่สูงขึ้นและไม่ต้องจ่ายค่าบริโภค แต่อันที่จริง หาก AI ถูก Optimize ในกระบวนการผลิตเป็นจำนวนมาก จะก่อให้เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจาก “มนุษย์” ซึ่งต้องใช้จ่ายเพื่อบริโภคมีกำลังซื้อลดลงเพราะ “ตกงาน” อีกทั้ง AI ยัง “ไม่จำเป็นต้องบริโภค” การใช้จ่ายจึงลดลงอย่างชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ Martin Ford จึงเสนอว่าเราส่งเสริมอาชีพที่เสนอขาย “ความคิดสร้างสรรค์” และสร้างอาชีพที่สร้างประสบการณ์และสานสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ให้มากขึ้น เช่น แพทย์และพยายบาลซึ่งต้องทำหน้าที่สานสัมพันธ์กับผู้ป่วยระหว่างการรักษา เป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้
แต่อย่างไรก็ตาม ในทุกสังคมล้วนมีคนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง หลายครั้งที่พวกเขาไม่สามารถสร้างทักษะระดับสูงมากพอจะสร้างรายได้ที่มั่นคงได้ Martin Fornd จึงมองว่าควรทำให้งานของมนุษย์มั่งคงมากขึ้นด้วยการกำหนด Universal Basic Income เพื่อเป็นมาตรฐานการทำงาน ระหว่างนี้ก็ให้การสนับสนุนเป็นรายบุคคล โดยเฉพาะการให้การศึกษา
สุดท้ายนี้ Martin Ford ชี้ว่า AI ยังคงเป็นพลังบวกที่ใช้แก้ปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ AI จะเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ใช้ลดมลภาวะทางอากาศ ดำเนินการค้นคว้าด้านการรักษาสุขภาพ และแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมในสังคม ซึ่งเรื่องนี้เป็นไปได้หากผู้มีอำนาจตัดสินใจหารือกันอย่างเปิดเผยเพื่อแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด