ถอดกลยุทธ์ทุนจีน ‘Temu’ โอกาสและความท้าทายที่ต้องจับตาในตลาด E-commerce ไทย | Techsauce

ถอดกลยุทธ์ทุนจีน ‘Temu’ โอกาสและความท้าทายที่ต้องจับตาในตลาด E-commerce ไทย

เปิดตัวในไทยได้ไม่นาน แต่ชื่อของ "Temu" แอปฯ บ้านส้มสัญชาติจีนก็กลายเป็นที่พูดถึงอย่างรวดเร็ว ด้วยกลยุทธ์ “สินค้าถูก” กว่าเจ้าอื่นๆ แบบเห็นได้ชัด แม้แต่ Amazon เจ้าใหญ่ในตลาดโลกยังต้องร้อนๆ หนาวๆ แล้ว Temu ทำได้อย่างไร? 

มาร่วมไขความลับเบื้องหลังความสำเร็จของแอปส้มที่กำลังมาแรง พร้อมเจาะลึกกลยุทธ์เด็ดที่ทำให้ Temu ครองใจนักช็อปทั่วโลกได้ในเวลาอันรวดเร็ว! แล้วผู้ประกอบการในไทยควรปรับตัวอย่างไร?

Temu แพลตฟอร์ม E-commerce ภายใต้ PDD Holdings บริษัทค้าปลีกสัญชาติจีน เปิดให้บริการในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2024 ที่ผ่านมา โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ Temu ขยายตลาดเข้ามา รองจากมาเลเซียและฟิลิปปินส์ ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้บริโภคชาวไทยมีการใช้งานสื่อออนไลน์และเปิดรับ E-commerce ในระดับสูง

ซึ่งที่ผ่านมาหลังจาก Temu เปิดตัวที่สหรัฐฯ ในเดือนกันยายน 2022 เพียงแค่ปีเดียวก็ได้สร้างปรากฎการณ์เขย่าวงการ E-commerce โดยมียอดผู้ใช้งานกว่า 100 ล้านคนทั่วโลกและกวาดรายได้ถึง 9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 อีกทั้งแอปพลิเคชัน Temu ก็ติดอันดับต้นๆ ของการดาวน์โหลดทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งได้สร้างปรากฎการณ์ท้าทายผู้ครองตลาดเดิมอย่าง Amazon, Shein และ Etsy ด้วยโมเดลธุรกิจที่เน้น "สินค้าราคาถูก" และ "กลยุทธ์การตลาดเชิงรุก" ผลักดันให้ Temu ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นรายสำคัญที่ทั่วโลกจับตามอง

กลยุทธ์เด็ดที่ทำให้ Temu เติบโตอย่างรวดเร็ว

1. ใช้ Data ขับเคลื่อนทุกอย่าง: ใช้โมเดลธุรกิจที่คล้ายกับ Shein คือการวางโมเดลธุรกิจบน “Data” เก็บข้อมูลจากพฤติกรรมผู้ใช้ ตั้งแต่การค้นหาสินค้า การคลิก ไปจนถึงการซื้อ ควบคู่กับการใช้อัลกอริทึมวิเคราะห์และสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบ “เฉพาะบุคคล” นอกจากนี้ยังใช้ Data เพื่อคาดการณ์ความต้องการของตลาด ผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และยังมีอำนาจในการต่อรองราคากับผู้ผลิต ด้วยเหตุที่ว่าเป็นแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่มีปริมาณการสั่งซื้อจำนวนมาก ส่งผลให้ได้สินค้าในราคาถูกลงอีกด้วย

2. สร้างประสบการณ์ช็อปปิ้งแบบ Interactive: Temu มีการออกแบบที่ทันสมัย ใช้งานง่าย และมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากมาย เช่น วิดีโอสั้น ๆ, เกมให้เล่นเพื่อรับรางวัล และระบบสะสมแต้ม เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนาน ทำให้ผู้ใช้ใช้เวลาในแอปนานขึ้นและดึงดูดให้ผู้ใช้กลับมาซื้อซ้ำ

3. ตั้งราคาให้ถูกที่สุด: Temu ใช้หลายกลยุทธ์ผสมผสานกัน ทำให้ราคาสินค้าถูกกว่า Amazon ถึง 60-70%  เช่น

  • Reverse-manufacturing โดยผลิตสินค้าจำนวนน้อยๆ ออกมาทดลองตลาดก่อน ถ้าขายดีก็ผลิตเพิ่ม ถ้าขายไม่ดีก็เลิกผลิต 
  • Consumer-to-Manufacturer โดยการตัดพ่อค้าคนกลางออกไป ทำให้สามารถลดต้นทุนและส่งต่อราคาที่ถูกให้ผู้บริโภคได้โดยตรง ทำให้ลดต้นทุนและเสนอราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งได้
  • Group Buying ใช้กลยุทธ์นี้ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ เช่น การเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ขายต่ำ และการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ ทำให้สามารถเสนอราคาสินค้าที่ถูกกว่าคู่แข่งได้อย่างมากและดึงดูดผู้บริโภคจำนวนมากเข้ามาใช้บริการ แต่อย่างไรก็ตาม Group Buying ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน เพราะผู้ซื้ออาจต้องรอนานกว่าจะได้รับสินค้า เนื่องจากต้องรอให้มีผู้ซื้อครบจำนวนที่กำหนดก่อนจึงจะทำการสั่งซื้อได้

4. กลยุทธ์การตลาดเชิงรุก: อีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ทำให้ Temu ประสบความสำเร็จคือ “การตลาดเชิงรุก”  Temu เคยทุ่มเงินมหาศาลในการโฆษณาซึ่งซื้อโฆษณาถึง 6 ช่วง ในการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ ซึ่งแต่ละช่วงราคาประมาณ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 240 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Temu พุ่งสูงขึ้น และมีผู้เข้าชมแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ใน 4 หรือราว 8.2 ล้านคน ในวันที่มีการแข่งขัน นอกจากนี้ Temu ยังใช้งบประมาณจำนวนมากในการทำการตลาดผ่าน Micro-Influencer เพื่อโปรโมทสินค้าและกระตุ้นให้เกิดการซื้อบนแพลตฟอร์มผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ อย่าง TikTok และ YouTube เป็นต้น

ผลกระทบของ TEMU ต่อ E-commerce ในประเทศไทย

อย่างที่ทราบกันว่า Temu ได้เข้ามาเปิดตลาด E-commerce ในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว ในเดือนกรกฎาคม 2024 ที่ผ่านมา 

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือการเข้ามาของ Temu จะส่งผลกระทบต่อตลาด E-commerce ในไทยอย่างไร ในเมื่อประเทศไทยมีผู้เล่นหลักอย่าง Shopee, Lazada, และ TikTok Shop อยู่แล้ว?

คำตอบคือการเข้ามาของ Temu ในตลาดไทยจะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงการ E-commerce  ส่งผลกระทบต่อผู้เล่นหลักอย่าง Shopee, Lazada, และ TikTok Shop อย่างแน่นอน กลยุทธ์การขายสินค้าในราคาที่ถูก(มาก) ของ Temu อาจทำให้เกิดสงครามด้านราคาที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตในประเทศ

สินค้าต่างๆ ของ Temu ได้สร้างความกังวลให้กับธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่ต้องต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านราคา และอาจต้องลดราคาสินค้าลงเพื่อแข่งขัน ซึ่งอาจส่งผลต่อกำไรของธุรกิจ รัฐบาลได้แก้สถานการณ์นี้ด้วยการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% สำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท อย่างไรก็ตามผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการผลิต ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข

ในทางกลับการการเข้ามาของ Temu ก็ได้กระตุ้นให้ผู้เล่นหลักในประเทศไทยอย่าง Shopee และ Lazada ต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด เพราะฉะนั้นนี่อาจะเป็นสัญญาณในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ โดยภาพรวมถึงแม้ว่า Temu จะนำเสนอทางเลือกสินค้าราคาประหยัดให้กับผู้บริโภคไทย แต่ก็สร้างความท้าทายที่สำคัญต่อตลาดในประเทศเช่นเดียวกัน  

คนไทยต้องปรับตัวอย่างไรในสถานการณ์นี้?

  1. ปรับกลยุทธ์การตลาด: ธุรกิจไทยโดยเฉพาะ SME ต้องเน้นการสร้างแบรนด์ที่ไม่สามารถหาได้จากสินค้าของ Temu เช่น การเน้นคุณภาพ ความเป็นเอกลักษณ์หรือบริการหลังการขายที่ดี เพื่อสร้างความแตกต่าง
  2. ขยายตลาดใหม่: ลองหาช่องทางตลาดใหม่ๆ หรือการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการเฉพาะกลุ่มมากขึ้นวิธีนี้จะช่วยให้รอดจากการแข่งขันที่ท้าทายนี้ได้  
  3. ใช้ Data ให้เป็นประโยชน์: เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ตรงใจ
  4. ใช้เทคโนโลยี: ธุรกิจไทยสามารถปรับตัวโดยการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจและลดต้นทุนได้ เช่น การใช้เทคโนโลยีให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงกับแบรนด์มากขึ้นหรือการช่วยสร้างตัวตนให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก 

การเข้ามาของ TEMU ในประเทศไทยอาจสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในตลาด E-commerce โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันด้านราคา ทำให้ผู้เล่นเดิมอย่าง Shopee และ Lazada ต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็ได้รับประโยชน์จากการมีทางเลือกที่มากขึ้นและราคาสินค้าที่ถูกลง 

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในระยะยาวจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการรักษาคุณภาพสินค้าและบริการ รวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทย เพราะตลาด E-commerce ในประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการแข่งขันที่ท้าทายมากขึ้น ผู้เล่นทุกคนต้องปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่ออยู่รอดและเติบโตในตลาดนี้ได้

อ้างอิง: ditp.go.th, bbc, techwireasia, alphabridge, newdigitalage, thethaiger, thaitimes, en.moneyandbanking, bangkokpost 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ONNEX by SCG Smart Living รุก 'ตลาดโซลาร์' รับโลกเดือด ดันโมเดลธุรกิจ EPC+ 5 รูปแบบ

ONNEX by SCG Smart Living เปิดแผน EPC+ Business Model 5 รูปแบบ ทั้งโมเดลสำหรับผู้ประกอบการ, เจ้าของโครงการ, นักลงทุน, บริษัทในเครือข่าย และตัวแทนอิสระ...

Responsive image

เจาะลึกบทบาท CVC กับการลงทุนใน Startups ยุคใหม่ กับ Nicolas Sauvage หัวเรือใหญ่ TDK Ventures

เจาะลึกบทบาทของ CVC ในการขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่ พร้อมเผยกลยุทธ์การเฟ้นหาและสนับสนุน Startups รวมถึงแบ่งปันวิสัยทัศน์เชิงลึกรวมถึงกลยุทธ์การลงทุนใน Startups ที่น่าจับตามอง โดย Nico...

Responsive image

ส่องกฎหมายและนโยบายที่ดึง Silicon Valley มาลงทุนในอินโดนีเซีย

บทความนี้ Techsauce จะพาไปเจาะลึกกับ 5 ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้อินโดนีเซียได้รับความสนใจจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในช่วงเวลานี้...