‘เลือกตั้งสหรัฐฯ’ ปีนี้เป็นการเลือกตั้งที่ถูกจับตามองทั่วโลกทั้งในเรื่องของนโยบาย ผู้นำ รวมไปถึง ‘การควบคุมเนื้อหาที่ถูกสร้างด้วย AI’ เพราะปี 2024 นับเป็นปีแรกในสหรัฐฯ ที่จัดการเลือกตั้งในยุค Generative AI ที่เทคโนโลยีเหล่านี้มีผลกระทบโดยตรง และดูเหมือนว่าสหรัฐฯ เองก็อาจยังไม่พร้อมรับมือกับ AI และข้อมูลปลอมที่ถูกปล่อยไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต

'สวิฟตี้สนับสนุนทรัมป์' ภาพที่ถูก AI สร้าง จน Donald Trump แชร์ให้ผู้ติดตามบน X กว่า 90 ล้านคน

ความไม่พร้อมรับมือ AI ที่ว่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ผู้ลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดีอย่าง Donald Trump เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ทรัมป์ ได้แชร์ภาพที่สร้างโดย AI ชุดหนึ่ง ภาพนั้นแสดงให้เห็นถึงกลุ่มแฟนเพลงของนักร้องดัง Taylor Swift สวมเสื้อที่มีข้อความสนับสนุนทรัมป์ แม้ว่าภาพเหล่านั้นจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเสียดสีก็ตาม

หรือจะย้อนกลับไปเมื่อเดือนมกราคม มีรายงานการใช้เทคโนโลยี Deepfake เลียนแบบเสียงของประธานาธิบดี Joe Biden โทรหาประชาชนในรัฐ New Hampshire เพื่อกีดกันไม่ให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในรัฐ ไปใช้สิทธิ์การเลือกตั้งขั้นต้น ส่งผลให้สำนักงานอัยการสูงสุดของรัฐนิวแฮมป์เชอร์ต้องเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน 

Gail Huntley สมาชิกพรรคเดโมแครต วัย 73 ปี  ในเมืองคือหนึ่งในผู้ที่โดน AI ปลอมเสียงโทรหา เธอกล่าวว่าเสียงที่ได้ยินเหมือนจริงกับเสียงไบเดนอย่างมาก ซึ่งตัวเธอเองรู้สึกตกใจ แต่ก็รู้ได้อย่างรวดเร็วเช่นกันว่าเป็นเสียงปลอม เพราะคำพูดต่างๆ นั้นไม่สมเหตุสมผล แต่ก็ไม่แปลกใจต่อเหตุการณ์นี้เท่าไหร่เพราะ AI ปลอมแบบนี้กำลังระบาดในรัฐฯ ดังกล่าว

ข้อมูลปลอมกับ AI ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างมาก Lance Hunter ศาสตราจารย์จาก Augusta University เปิดเผยว่า หากมีคนหลายล้านคนเห็นข้อมูลที่บิดเบือนจาก AI และมีคนเพียง 10-15% เชื่อในข้อมูลเหล่านี้ ก็เป็นจำนวนมากพอที่ส่งผลต่อการเลือกตั้งแล้ว เพราะในบางรัฐที่ไม่มีพรรคใดที่มีฐานเสียงเหนียวแน่น ก็ผลต่างคะแนนเสียงน้อยกว่า 1% ดังนั้นการที่คนจำนวนเพียงเล็กน้อยได้เห็นข้อมูลบิดเบือนเหล่านี้ และไม่รู้ว่าเป็นข้อมูลปลอม ก็ส่งผลต่อการเลือกตั้งได้

AI ปลอม ปัญหาที่แก้ไม่ตกของเลือกตั้งสหรัฐฯ

AI ที่ถูกนำมาใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ สามารถใช้สร้างภาพ วิดีโอ หรือแม้แต่การทำวิดีโอสดพร้อมเสียง (Live) ได้ แถมเครื่องมือเหล่านี้ก็ถูกพัฒนา และกระจายไปอย่างรวดเร็ว หมายความ่าผู้คนทั่วโลกสามารถใช้ประโยชน์ และใช้ในทางที่ผิดได้ ไม่ใช่แค่เพียงในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และอินเดีย 

Yoon Suk Yeol ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ที่เคยถูก AI ปลอมบิดเบือนข้อมูล

ยกตัวอย่างเคสที่เกาหลีใต้ มีการเผยแพร่วิดีโอ Deepfake ความยาว 46 วินาที ที่แสดงภาพของประธานาธิบดี Yoon Suk Yeol ที่ออกมายอมรับว่าทุจริต และเคยมีวิดีโอบน TikTok ที่แสดงให้เห็นว่า Yoon Suk Yeol กำลังวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำพรรคประชาธิปไตย (DP) ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้แน่นอนว่าเป็นข้อมูลปลอม แต่กลับส่งผลต่อความน่าเชื่อถือด้านการเมืองเป็นอย่างมาก

หากถามว่าทำไมแพลตฟอร์ม หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องถึงไม่มาจัดการเรื่องนี้ ? คำตอบคือ พวกเขาสร้างเครื่องมือเพื่อจัดการแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเครื่องมืออาจจะยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ อย่างเช่น Facebook มีการติดป้ายกำกับว่าภาพนี้ถูกสร้างด้วย AI หรือไม่ รวมทั้งมีการแบนเนื้อหาที่สร้างโดย AI 

รัฐบาล โจ ไบเดน เคยได้รับคำมั่นสัญญาจากบิ๊กเทคยักษ์ใหญ่ทั้ง Amazon, Anthropic, Google, Inflection, Meta, Microsoft และ OpenAI ในการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นโดย AI ของพวกเขา แต่กลับไม่มีสิ่งใดที่เป็นตัวบังคับให้บริษัทต่างๆ ปฏิบัติตามข้อตกลงเหล่านั้น

เครื่องมือตรวจจับ AI ปลอมพวกนี้ยังทำงานไม่ค่อยเสถียร พูดตรงๆ ว่า บางตัวก็ไม่ค่อยได้เรื่อง ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ออกแบบมาให้ฟันธงแบบ 100% ว่าใช่หรือไม่ใช่"

Alexios Mantzarlis ผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคง ความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยจาก Cornell University กล่าว

AI ปลอมกำลังก้าวหน้าในขณะที่เวลาเลือกตั้งสหรัฐฯ ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ การเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาในการรับมือกับ AI ให้กับหลายๆ ประเทศได้เป็นอย่างดี

อ้างอิง : Yahoo Finance, AP, The Diplomat, thestandard.com.hk