Aung Kyaw Moe (อองโจโม) และ Jun Hasegawa (จุน) มีหลายสิ่งที่เหมือนกัน...
ทั้งคู่เป็น ผู้บริหาร ที่ออกจากบ้านเกิดมาตามหาฝัน และ ปัจจุบันทั้งสองกำลังสร้างแพลตฟอร์ม payment ที่กำลังเติบโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่หากพูดถึงวิธีการหาเงินทุนสำหรับ startup ของตัวเอง พวกเขากลับเลือกคนละเส้นทาง
Aung ผู้ก่อตั้งและ Group CEO ของ 2C2P ในวัย 42 ปี ได้ระดมทุนจาก Venture Capital หรือ VC กว่า 30 ล้านดอลลาร์ และกำลังค่อยๆ สร้างตัว รอเวลาที่จะออก IPO ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ขณะที่ Hasegawa ผู้ร่วมก่อตั้ง และ CEO ของ Omise วัย 36 ปี ได้ระดมทุนผ่าน ICO วิธีที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา โดยได้รับเงินระดมทุนไปถึง 25 ล้านดอลลาร์ และปัจจุบันเหรียญ OmiseGO มีมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ พร้อมเอาเงินที่ได้รับมาสร้างสิ่งใหม่ๆ
Hasegawa ยอมรับว่า ที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมากๆ ที่เขาใช้เวลาเพียงแค่ 6 เดือนในการมาถึงจุดนี้ ซึ่งไม่แน่ว่าหากเขาเลือกระดมทุนจาก VC ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ได้เงินทุนเท่านี้ ซึ่งข้อดีอย่างหนึ่งของ ICO คือมันหาเงินทุนได้ง่ายกว่า โดยที่ไม่ต้องเสียหุ้นในบริษัทไปด้วย เนื่องจากคนที่ซื้อเหรียญ OmiseGO ไม่ได้ซื้อหุ้นบริษัท แต่คือการซื้อสกุลเงินเพื่อใช้ในระบบเท่านั้น
Aung เองก็เฝ้ามองวิถีของ Omise มาโดยตลอด แต่เขาเลือกที่จะหาเงินทุนผ่าน VC ซึ่งแม้จะได้รับเงินยากกว่า แต่เขาคิดว่า ICO มันเสี่ยงเกินไปที่จะใช้สร้างธุรกิจ
“หากวันหนึ่ง ระบบมันพังลงไป เราคงไร้การควบคุม” Aung กล่าว “ผมอยากจะนอนหลับสนิทด้วยความสบายใจมากกว่า”
ทั้งสองต่างเผชิญสถานการณ์ที่ตัดสินใจยาก ในแบบที่ startup ส่วนใหญ่ล้วนต้องเจอ ซึ่งไม่รู้ว่าควรจะระดมทุนแบบไหน ถึงจะตอบโจทย์ธุรกิจของตนเองมากที่สุด จะเป็นการระดมทุนแบบดั้งเดิมจาก VC ที่คาดเดาจำนวนเงินและข้อจำกัดได้ หรือจะลองออก ICO ที่ได้เงินมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจได้เงินจำนวนมากที่คาดเดาไม่ถึง อะไรคือสิ่งที่ใช่กันแน่?
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา Omise และ 2C2P ต่างไม่ได้เดินในทางเส้นเดียวกันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
Aung ผู้เริ่มจากการเป็นโปรแกรมเมอร์ สัญชาติพม่า ได้เริ่มก่อตั้ง startup ของเขาที่กรุงเทพ ในปี 2003 และได้ให้บริการลูกค้าอย่าง Thai Airways, Lazada และ Zara ในการจัดการระบบการจ่ายเงินออนไลน์ด้วยบัตรเครดิตและเดบิต รวมทั้งการรับเงินสดผ่านร้านสะดวกซื้อ เพื่อบริการลูกค้าที่ไม่สะดวกในการเข้าถึงธนาคาร
ขณะที่ Hasegawa และผู้ร่วมก่อตั้งชาวไทย Ezra Don Harinsut ได้เริ่ม Omise และเครือข่าย OmiseGO เพื่อสนับสนุนให้คนทำธุรกรรมการเงินผ่านเงินดิจิทัล อย่าง Bitcoin และ Ethereum รวมถึงสกุลเงินทั่วไป เช่น เงินดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายคือ การเปลี่ยนแปลงให้ผู้คนหันมาใช้เงินดิจิทัลบนระบบกระจายศูนย์กันมากขึ้น
แผนการใช้เงินที่ระดมทุนมาจาก ICO ของ Omise ถูกจัดสรรเอาไว้สำหรับการพัฒนาเทคโนโลบน Ethereum สำหรับ Digital Wallet ภายในไตรมาสที่สี่นี้ แต่โปรเจคนี้ก็ยังไม่ได้เริ่มต้นเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่ง Hasegawa กล่าวว่าเวอร์ชันทดลองจะเริ่มใช้ได้ในช่วงกลางปี 2018 นี้
Dmitry Levit พาร์ทเนอร์ของ Cento Ventures ที่เป็น VC แรกที่สนับสนุน 2C2P กล่าวถึง เมื่อครั้งที่ทีมของเขากำลังมองหาธุรกิจที่น่าลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2011 ว่า ช่วงนั้นมีออนไลน์แพลตฟอร์มต่างๆ ต้องปิดตัวลงไป ทั้งเว็บไซต์จองตั๋วเครื่องบิน และเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซต่างๆ เนื่องจากไม่มีระบบการชำระเงินที่น่าเชื่อถือมากพอ ซึ่งทำให้เขามองเห็นว่า 2C2P จะเข้ามาแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้
"เราคิดว่าสิ่งที่ Aung กำลังสร้างนั้น มันตอบโจทย์ได้พอดี" Levit กล่าว
ปัจจุบัน 2C2P มีลูกค้าอย่าง Facebook และสายการบินต่างๆ กว่า 30 แห่ง รวมถึงลูกค้ารายใหญ่ๆ กว่าอีก 350 เจ้า โดยในปี 2017 บริษัทเติบโตกว่า 111% เพิ่มขึ้นจาก 99% ในปี 2016 และมี VC หนุนหลังหลายเจ้า รวมถึง GMO Venture Partners, SafeCharge international Group Ltd. และ Amun Capital ในฮ่่องกง
ซึ่ง Aung ตั้งเป้าว่าบริษัทจะต้องทำกำไรให้ได้ในปีนี้
วิธีการระดมทุน ICO ยังเป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้าง เมื่อจีนได้แบน ICO ไปเมื่อเดือนกันยายนปี 2017 และหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศต่างๆ ได้ออกมาเตือนการระดมทุนด้วย ICO ว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการฉ้อโกง
ขณะที่ Hasegawa เชื่อว่า ICO จะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฎิวัติทางการเงิน "บริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก ต่างต้องปรับตัวและปรับเปลี่ยน business model ของตัวเอง"
แต่ Aung ไม่เชื่ออย่างนั้น โดยเขากล่าวว่า "สิ่งที่ฟังดูดีเกินจริง มักจะไม่ค่อยส่งผลดี"
อ้างอิงภาพและเนื้อหา Bloomberg
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด