ทำไม VC ถึงมักจะเร่งให้สตาร์ทอัพผลาญเงินเร็วนัก | Techsauce

ทำไม VC ถึงมักจะเร่งให้สตาร์ทอัพผลาญเงินเร็วนัก

บางคนอาจจะไม่เข้าใจเวลาที่ VC (Venture Capital) ซึ่งหมายถึงนักลงทุนที่ลงทุนให้กับบริษัทสตาร์ทอัพในรูปแบบขององค์กร มักจะเร่งให้สตาร์ทอัพเอาเงินไปทำนู่นทำนี่ เร่งให้ใช้เงินออกไปเร็วๆ จนรู้ตัวอีกที ตัวเลขในบัญชีของสตาร์ทอัพก็กลายเป็นศูนย์แล้ว ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สตาร์ทอัพหลายรายไปไม่รอด  ถ้าพูดในมุมมองของผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพ พวกเขาอาจรู้สึกแปลกใจกับพฤติกรรมเหล่านี้ของ VC แต่ความจริงแล้วมันมีเหตุผลและแรงกระตุ้นที่ลึกซึ้งอยู่เบื้องหลัง

burn-feature

VC กับแรงกระตุ้น (หรือแรงกดดัน) ที่ผิดที่ผิดทาง

VC มักจะดูเหมือนเชื่อหมดใจว่าเขากำลังจะช่วยให้สตาร์ทอัพไปได้สวย แต่ความไม่แน่นอนและข้อจำกัดด้านเวลา อาจเป็นตัวกระตุ้นให้ VC กดดันบริษัทสตาร์ทอัพให้ใช้เงินจนหมด เนื่องจาก VC รู้ว่าผลตอบแทนส่วนใหญ่เป็นเหมือนการเดิมพัน ได้กลับคืนมาจากการเหวี่ยงเบ็ดออกไปจำนวนมาก พวกเขาต้องใช้พาร์ทเนอร์ในกองทุน ทุ่มเทเวลากับอยู่บริษัทที่พวกเขาลงทุนไป เพื่อการช่วยเหลือสตาร์ทอัพก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนคือการดูและพิจารณาว่าเบ็ดที่เดิมพันในครั้งนี้คุ้มค่าไหมที่จะลงทุนเงินและเวลาในรอบต่อๆ ไป 

ถ้าเป็นโลกในอุดมคติ VC ก็คงสามารถมีพาร์ทเนอร์จำนวนไม่สิ้นสุด มีเงินลงทุนในกองทุนเพิ่มขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ที่พวกเขาต้องการ แน่นอนว่าในโลกของความเป็นจริง เงินมันมีขีดจำกัด และการมีพาร์ทเนอร์มากๆ ก็ทำให้ยากต่อการจัดการ

กองทุนยังถูกกดดันให้สร้างผลตอบแทนให้ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ เพราะนั่นจะแสดงให้เห็นถึงคุณภาพในการระดมทุนครั้งต่อๆ ไป ซึ่งการระดมทุนนี้ก็สำคัญมากเพราะ VC จะได้เงินจากค่าธรรมเนียมการจัดการมากกว่าเงินที่ได้จากการลงทุนที่ไปได้สวยเสียอีก การเก็บค่าธรรมเนียมได้มากๆ นี่ถือเป็นความสำเร็จระยะสั้นไปจนถึงระยะปานกลางที่สำคัญอย่างหนึ่งของบริษัท  

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

ด้วยอายุเฉลี่ยของเงินระดมทุนสำหรับนักลงทุนในช่วงเริ่มต้นหรือ Early stage ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 10 ปี ประกอบกับรูปแบบการระดมทุนครั้งใหม่ทุกๆ 2-4 ปี ทำให้ VC ต้องแสดงให้เห็นว่ามีความก้าวหน้าอะไรบ้าง เพราะมีเวลาเหลือไม่มากนักในการที่บริษัทจะคืนทุนให้กับ LP (Limited partner) หรือผู้ลงทุนในกองทุนนั้นๆ ก่อนที่จะเริ่มระดมทุนในรอบถัดไป  ดังนั้น VC จะต้องคิดมูลค่าบริษัท (Valuation) เองว่าบริษัทใน Portfolio ตัวไหนสูงขึ้นหรือต่ำลง ถ้ากองทุนทำให้เห็นว่าสามารถบวกกำไรส่วนเพิ่มหรือ Markup ที่เป็นรูปเป็นร่างได้ VC ก็จะทุ่มงบมาร์เก็ตติ้งให้กับการระดมทุน ในทางกลับกัน ถ้ากองทุนไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้ ภายในเวลาไม่นานกองทุนนั้นก็จะล้มหายตายจากไป

จากตัวกระตุ้นทั้งสองที่กล่าวมาทำให้เกิดสถานการณ์ที่ VC มักจะกดดันสตาร์ทอัพให้รีบแสดงออกมาให้เห็นโดยไวว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ดีกว่ารอให้ค่อยๆ โต บริษัทที่ได้ไปต่อคือบริษัทที่ลดความไม่แน่นอนของการลงทุนในบริษัทนั้นๆ และประเมินระยะเวลาที่พาร์ทเนอร์แต่ละคนใช้ในการลงทุน ถ้าบริษัททำได้สำเร็จก็จะดึงดูดการลงทุนใหม่ๆ เข้ามาด้วยมูลค่าบริษัทที่สูงขึ้น ทำให้ VC สามารถเพิ่มเงินลงทุนได้

ในทางกลับกัน ถ้าบริษัทไม่สามารถทำตามข้อผูกมัดด้านเวลาที่พาร์ทเนอร์กำหนดไว้  VC ก็อาจจะหันไปมองบริษัทอื่นที่ทำได้ดีกว่า หรือหาบริษัทใหม่ที่จะมีมูลค่าบริษัทที่ทดแทนมูลค่าที่เสียไปจากความล้มเหลวของสตาร์ทอัพรายใดรายหนึ่งใน Portfolio ซึ่งในมุมของนักลงทุนแล้ว กระบวนการนี้ยิ่งเกิดขึ้นเร็วเท่าไรยิ่งดี

สถานการณ์ที่แย่ที่สุดในมุม VC ก็คือการลงทุนจำนวนมากไปกับบริษัทที่ดำเนินไปเรื่อยๆ ดูไม่รู้ว่าจะหมู่หรือจ่าเสียที บริษัทแบบนี้ต้องการเวลาและพลังจำนวนมากเพื่อหาคำตอบว่าจะสำเร็จหรือไม่ กลายเป็นเรื่องดราม่าในทีมที่บางทีนักลงทุนต้องเข้ามาไกล่เกลี่ย สตาร์ทอัพมักจะเริ่มถามคำถามยากๆ เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินระยะสั้นในเวลาที่การเงินไม่ค่อยมั่นคงหรือ Bridge Finance แถมบริษัทเหล่านี้ยังไม่ค่อยมีส่วนช่วยด้านมาร์เก็ตติ้งมากเท่าไหร่นัก

แล้วฝั่งสตาร์ทอัพควรรับมืออย่างไรเมื่อเริ่ม “เข้ากันไม่ได้”

การหาทางรับมือกับความกดดันเป็นเรื่องสำคัญ และจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของสตาร์ทอัพกับผู้ลงทุน จำไว้ว่า CEO ของบริษัทสตาร์ทอัพต่างหากที่เป็นคนควบคุมบัญชีบริษัท ดังนั้นนักลงทุนทำได้แค่ “กดดัน” สตาร์ทอัพให้รีบๆ ใช้เงิน แต่ไม่สามารถ “บังคับ” หรือจับมือ CEO ให้หยิบเงินออกไปใช้ได้จริงๆ เสียหน่อย ดังนั้นผู้ก่อตั้งต้องเข้าใจธุรกิจของตัวเองว่าจะใช้เงินเมื่อไร อย่างไร ถึงจะสมเหตุสมผล

อีกอย่างคือ อย่าลืมว่าหากบริษัทกำลังไปได้สวย แล้วมีคนมาสัญญาว่าจะลงทุนเพิ่มให้อีก คำสัญญานั้นอาจไม่ได้มีค่ามากมายอะไรนัก เพราะสิ่งที่สำคัญจริงๆ คือยอดเงินในบัญชีของคุณในปัจจุบันนี้ต่างหาก ความจริงแล้ว ในช่วงที่บริษัทมีเงิน มันอาจจะดูง่ายที่จะตัดสินใจว่าจะเอาเงินไปใช้กับอะไรบ้าง ลองดูตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงของผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ พวกเขามักจะพูดว่าเขาต้องจ้างทีมเพิ่มเพื่อพัฒนาฟีเจอร์รองรับลูกค้าใหม่ๆ บ้างก็บอกว่าต้องเอาเงินไปทำโฆษณาเพื่อเพิ่มลูกค้า แล้วก็มักจะพูดต่อว่า นักลงทุนคนนั้นคนนี้บอกว่าพวกเขาพิเศษไม่เหมือนใคร และสัญญาจะลงทุนให้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ความจริงก็คือพวกนักลงทุนมักจะยกตัวอย่างบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการเอาเงินไปผลาญอย่าง Uber เพื่อชี้ให้เห็นว่าสตาร์ทอัพควรรีบๆ ใช้เงิน แล้ว Founder ก็มักจะรับคำแนะนำแบบนี้มาโดยที่ไม่ได้คิดลงไปให้ลึกๆ ว่าตัวอย่างที่ว่ามันใช้ได้กับสถานการณ์ของบริษัทตัวเองหรือไม่ ถ้าทำตามแล้วโตจริงก็ดีไป แต่ถ้าไม่… การใช้เงินนี่แหละที่จะกลายมาเป็นปัญหา ยิ่งบริษัทเข้าใกล้สถานะว่า “ไม่น่าจะให้ผลตอบแทนที่สำคัญกับกองทุนมากนัก” เท่าไร เงินทุนจาก Investor ยิ่งหายไปเร็วเท่านั้นไม่ว่าก่อนหน้านี้จะสัญญาไว้ดิบดีแค่ไหนก็ตาม ยิ่งนักลงทุนมั่นใจว่าบริษัทไม่รอดแน่ๆ พวกเขาก็จะยิ่งถอย ในขณะเดียวกัน Founder ที่เข้าใกล้คำว่า ล้มเหลว กลับยิ่งต้องการการผูกมัดและความช่วยเหลือ ซึ่งจุดนี้แหละ จะเป็นจุดที่สตาร์ทอัพและ VC เริ่ม “เข้ากันไม่ได้” และเป็นจุดที่ฆ่าสตาร์ทอัพและทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสตาร์ทอัพและนักลงทุนมานักต่อนัก

ไม่ต้องแปลกใจเลยที่ยิ่งเงินในบัญชีของ Founder มีมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งในการระดมทุนมากขึ้นเท่านั้น ความจริงแล้วเราก็เห็นสตาร์ทอัพเพียงไม่กี่เจ้าในบริษัท Y Combinator ที่ระดมทุนในรอบขอเงินโดยไม่ได้ใช้เงินจากรอบก่อนเลย พวกเขาต้องทำก็เพื่อให้ได้รับข้อเสนอดีๆ จากนักลงทุน หรือพวกเขาอาจจะหาทางออกได้แล้วว่าจะโตได้อย่างไรโดยไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากเกินไป

สถานการณ์เลวร้ายจากแรงกดดันของ VC

ด้วยแรงกดดันจาก VC ที่กล่าวมา สถานการณ์มีแนวโน้มจะเป็นไปได้อยู่ 2 ทาง ทางแรกอาจจะไม่ดีต่อ Founder นัก คือเมื่อ VC รู้ว่าบริษัทนี้กำลังแย่ แต่เล็งเห็นว่ายังพอจะมีทางสำเร็จได้ VC ก็อาจจะลงทุนเพิ่มให้แต่เพื่อแลกกับเงื่อนไขบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายนักลงทุนมากกว่า ผลก็คือ Founder จะเสียการควบคุมรวมถึงหุ้นในบริษัท และอาจจะถึงขั้น Founder โดนเปลี่ยนตัวเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า Founder เหลือ Leverage อยู่มากแค่ไหน และเมื่อตัวเลขในบัญชีกลายเป็นศูนย์ Leverage ก็จะลดลงเช่นเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่ากรณีนี้... บริษัทอาจจะอยู่รอดต่อไปก็เป็นได้

สถานการณ์เลวร้ายขั้นสุด

คงนึกภาพออกและไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือ การที่บริษัทไม่มีเงินเหลือเลยนั่นเอง

ที่มา: blog.ycombinator.com

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

‘UOB Sustainability Compass’ เครื่องมือออนไลน์ด้านความยั่งยืน หนุน SMEs เปลี่ยน Vision เป็น Action

บทสัมภาษณ์ คุณอัมพร ทรัพย์จินดาวงศ์ และคุณพณิตตรา เวชชาชีวะ เกี่ยวกับ ‘UOB Sustainability Compass’ เครื่องมือออนไลน์ที่เข้ามาช่วย SMEs เริ่มดำเนินการด้านความยั่งยืนอย่างเข้าใจและไม...

Responsive image

Intel พลาดอะไรไป ? ทำไมถึงต้องเปลี่ยน CEO กะทันหัน ? ถอดบทเรียนราคาแพงจากยุค Pat Gensinger

การ ‘เกษียณ’ อย่างกะทันหันของ Pat Gelsinger อดีตซีอีโอ Intel ในต้นเดือนธันวาคม สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการเทคโนโลยี หลายฝ่ายมองว่าเป็นการบีบให้ออกจากบอร์ดบริหาร อันเนื่องมาจากผล...

Responsive image

GAC รถแห่งเมืองกวางโจว ขวัญใจแท็กซี่ยุคใหม่ | Tech for Biz EP. 30

แบรนด์รถยนต์ที่เป็นความภูมิใจของคนกวางโจว สู่ขวัญใจแท็กซี่ยุคใหม่ คลิปนี้ Tech for Biz จะพาไปรู้จัก GAC ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนอีกเจ้าที่กำลังบุกตลาดเมืองไทย...