MetaMask ชื่อนี้หลายคนคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว เพราะเมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคของคริปโตเคอร์เรนซี แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ทุกคนควรทำความรู้จัก นั่นก็คือ กระเป๋าคริปโต หรือ คริปโตวอลเล็ต (Crypto Wallet) เพราะการมีกระเป๋าคริปโตเป็นของตนเองจะทำให้สามารถบริหารจัดการสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลกของคริปโตได้อย่างราบรื่น รวมทั้งยังเป็นการป้องกัน Private Key หรือ ชุดรหัสที่ผู้ใช้จะต้องเก็บรักษาไว้ เนื่องจากหากสูญหายจะไม่สามารถเข้าถึงเหรียญที่เรามีได้อีก หรือหากหลุดรั่วออกไปยังมิจฉาชีพก็อาจจะนำไปสู่การสูญเสียทรัพย์สินในบัญชีทั้งหมดได้ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวจึงจำเป็นต้องมีกระเป๋าคริปโตนั่นเอง และในบทความนี้เราจะแนะนำให้รู้จัก MetaMask กัน
MetaMask หรือ MetaMask Wallet กระเป๋าเงินสินทรัพย์ดิจิทัล เป็น Wallet สำหรับเก็บเหรียญคริปโต บนระบบนิเวศของ Ethereum ทุกชนิด ในกลุ่ม ERC-20 ซึ่ง Metamask พัฒนาโดยบริษัท ConsenSys โดยมีผู้ก่อตั้งคือ Joseph Lubin เมื่อปี 2016 (Joseph Lubin ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum และ เคยยังเคยเป็น Speaker ในงาน Techsauce Global Summit)
ขณะเดียวกัน MetaMask แตกต่างจากกระเป๋า Zipmex และ Binance เพราะเชื่อมกับ Blockchain ได้ และผู้ใช้งานก็สามารถจัดการกับเหรียญ Crypto ของตนได้อย่างปลอดภัยในระดับหนึ่ง มีความน่าเชื่อถือสูง เพราะกระเป๋าแต่ละใบจะมี Private Key ที่จะมีเพียงเจ้าของบัญชีเท่านั้นที่จะรู้
และยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้ MetaMask น่าสนใจก็คือ สามารถเชื่อมต่อกับ Decentralized Application อื่น ๆ ได้อย่างสะดวก อย่างเช่นในปัจจุบันการเข้าใช้งาน DeFi หรือนําเหรียญดิจิทัลเหล่านี้ไปซื้อขาย หรือเล่นเกม NFT ได้โดยที่ไม่ต้องผ่านตัวกลาง ซึ่ง Metamask จะเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อ เนื่องจากสามารถใช้ในการรับและโอน Cryptocurrency ไปด้วย ทำให้ Metamask ได้รับความนิยมใช้งานมากขึ้น รวมทั้งยังเป็นกระเป๋าเงินที่รองรับแพลตฟอร์ม NFT ยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็น Opensea, Foundations, Rarible เป็นต้น
ส่วนวิธีการใช้งานนั้นก็แสนจะง่าย โดยที่ผู้ใช้งานสามารถสมัครใช้งานและติดตั้ง MetaMask บน Extension ของ Browser ได้ง่าย ๆ เช่น Google Chrome หรือ Firefox และสามารถเชื่อมต่อ กระเป๋าดิจิทัลตัวนี้กับ Decentralized Application ได้ทันที
เริ่มแรกสามารถติดตั้งกระเป๋า MetaMask ได้บน Google Chrome, Firefox หรือ Browser ที่รองรับ Extension อย่างเช่น Brave หรือ Edge นอกจากนี้ยังมีให้บริการบน iOS และ Android ซึ่งในครั้งนี้ Techsauce จะใช้ Google Chrome ในการติดตั้งโดย
แรกเข้าเว็บไซต์ที่เป็นทางการของ Metamask หรือคลิกที่ลิงค์ https://metamask.io จากนั้นเลือก Download และเลือก Browser ที่เราต้องการจะให้ติดตั้ง MetaMask หลังจากนั้นกดที่ Install MetaMask สำหรับบราวเซอร์ที่เราเลือก ซึ่งจะมีเจ้าจิ้งจอกสีส้มรอต้อนรับอยู่
หลังจากที่ติดตั้ง MetaMask เสร็จก็จะขึ้นเป็น Welcome to Metamask ให้ทำการกดคำว่า “Get Started” เพื่อไปตั้งค่ากระเป๋าเก็บคริปโตเคอร์เรนซี่ของเรา
กดปุ่ม Get Started
ระบบจะให้เลือกระหว่างติดตั้ง wallet ใหม่ หรือใช้ wallet ที่มีอยู่แล้ว สำหรับคนที่เพิ่งเคยใช้ MetaMask ครั้งแรกให้กด Create a Wallet เลือก Yes, let's get set up!
จากนั้นจะปรากฏหน้าจอเงื่อนไข เราต้องอ่านและทำความเข้าใจก่อน และเมื่อเสร็จเรียบร้อยก็กด I Agree เพื่อยอมรับ
หลังจากผู้ใช้งานก็สามารถเข้าไปสร้างรหัส ซึ่งจำเป็นต้องมีขั้นตำ่ 8 ตัวอักษร โดยรหัสตรง New Password ต้องเหมือนกับ Confirm Password หลังจากนั้นให้กดถูกที่ช่องสี่เหลี่ยม “I have read and agree to the term of use” และกด Create
ระบบจะสร้างรหัสไว้กู้คืน (seed phrase) เป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 12 คำ ซึ่งถือเป็น Secret Recovery Phrase โดยเป็น Private key ที่มีเพียงเจ้าของบัญชีเท่านั้นท่ีรู้ โดยสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กู้คืนกระเป๋าดิจิทัลนั่นเอง
หลังจากนั้นจะถึงหน้า Secret Backup Phase ให้กดบริเวณตัวล็อกโซนสีเทา ที่มีลูกศรสีแดงอยู่ ซึ่งเมื่อทำการกดก็จะมี Backup Phase หรือคำภาษาอังกฤษ จำนวนนึง ให้ทำการจดลงกระดาษหรือที่ที่ปลอดภัย โดยให้เรียงลำดับตามคำที่ปรากฎ ซึ่งห้ามทำการแชร์หรือแบ่งปันข้อมูลนี้เด็ดขาด
หลังจากที่กดคำภาษาอังกฤษให้ คลิกที่คำว่า “Next” ให้นำคำทั้งหมดที่จดมาใส่ใหม่ ตามลำดับให้ถูกต้อง และหลังจากนั้นก็กด Confirm เท่านี้ก็จะเป็นการตั้งค่า MetaMask เรียบร้อย
เพียงเท่านี้ Metamask ก็พร้อมใช้งานแล้ว ซึ่งจะสามารถเข้าไปหน้า Homepage ของ Metamask ได้เลย
ส่วนตรงด้านล่างคำว่า Account1 จะเป็น Address ของเราเอาไว้รับเหรียญ ส่งเหรียญ หรือทำธุรกรรมใดๆก็ตาม
1. ทำการเปิด MetaMask ของเราขึ้น จากนั้น เลือก Network และคลิก Add Network และเข้า Google พร้อมค้นหา Binance Smart Chain Network Name และคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ของ Binance Academy
2. หลังจากเข้าไปในเว็บไซต์ เลื่อนลงมาจนเจอคําว่า Mainnet และคัดลอกข้อมูลเหล่านี้ไปวางไว้ใน Meta Mask ซึ่งสามารถปรับชื่อ Network ได้เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จาก Smart Chain เป็น Binance Smart Chain พร้อมกับนําข้อมูล RPC URL, ChainID, Currency Symbol และ Block Explorer URL มาใส่
3. จากนั้นก็กด Save Network และกลับมาดูหน้า Homepage ของ MetaMask Wallet จะพบว่ามุมบนขวาได้เปลี่ยนมาเป็น Binance Smart Chain เรียบร้อย พร้อมกับสกุลเงินเป็น BNB เช่นเดียวกัน
แม้ว่าจะมีบริการกระเป๋าเงินต่างๆ มากมาย แต่ MetaMask นั้นได้รับความนิยมมากที่สุดโดยมีผู้ใช้งานรายเดือนมากกว่า 21 ล้านคน เพิ่มขึ้น 38 เท่าตั้งแต่ปี 2020
ดังนั้นสุดท้ายแล้วสำหรับการเริ่มต้นมีส่วนร่วมกับแพลตฟอร์ม Ethereum อันดับแรกคุณต้องเติมเงินใส่กระเป๋าเงิน MetaMask สกุล Ethereum ก่อนจำนวนหนึ่ง ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดบน Blockchain ล้วนมีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการย้าย Token จาก A ไปยัง B หรือการสร้างคอลเลกชัน NFT และค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “ค่าแก๊ส”
ซึ่งเมื่อสมัคร Metamask แล้วนั้น เราสามารถโอนเหรียญ Crypto ที่แลกซื้อมาแล้ว มาใส่ในกระเป๋านี้ได้ ซึ่งจริงๆแล้ว Metamask ไม่ได้เก็บเหรียญเอาไว้ในกระเป๋าโดยตรง แต่ทำหน้าที่เหมือนกับ “กุญแจ” สำหรับเข้าถึงตู้เซฟมากกว่า หรือการใช้ยืนยันหรือใช้แสดงสิทธิ์ในการทำธุรกรรมต่างๆ โดยที่ Metamask เรียกได้ว่าเป็นตัวกลางที่ทำให้เราสามารถเข้าไปดูข้อมูลและทำธุรกรรมในบัญชีที่จัดเก็บคริปโทเคอร์เรนซีบนบล็อกเชนได้ นั่นเอง
โดยที่จะมีปุ่มส่งและ BUY ซึ่งหากคุณต้องการดู QR Code เพื่อฝากเงิน ให้คลิกที่ BUY จากนั้นคลิกที่ “ดูบัญชี”
หากคุณต้องการส่ง ให้คลิกที่ “ส่ง” จากนั้น จากนั้นใส่เลขกระเป๋าปลายทาง ระบุจำนวน GAS ที่จะใช้ โดยจะมีให้เลือกระหว่าง ช้า , ปกติ และ เร็ว (แนะนำให้ใช้แบบเร็ว เพราะจะถึงไวที่สุด)
ยกตัวอย่างเช่น นำเหรียญดิจิทัลเหล่านี้ไปซื้อขายหรือเล่นเกม NFT เช่น Opensea หรือ Axies เป็นต้น โดยที่ไม่ต้องผ่านตัวกลาง เหมือนตัวอย่างที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งนักเทรดสายฟาร์ม Defi จะสามารถโอนเหรียญ BNB และ CAKE จาก Satang Pro ตรงไปที่ กระเป๋า Metamask (BSC Chain) ได้โดยไม่ต้องผ่าน Binance แก้ปัญหาการเสียค่าธรรมเนียม 2 ต่อและรวดเร็วมากขึ้น จากเดิมที่โอนจากกระดานเทรดในไทย ไปยัง Binance ไปเข้า Wallet แล้วจึงไปทำฟาร์มที่ Metamask
หากพูดถึงกระเป๋าคริปโตที่ดีที่สุดในปัจจุบัน แน่นอนว่าก็คงหนีไม่พ้น Metamask ที่ปัจจุบันถือว่าเป็นกระเป๋าคริปโตอันดับ 1 ทั้งจากการเก็บเหรียญคริปโตเอง และแวดวงเกมส์ NFT
ส่วนกระเป๋ายอดนิยมรายอื่นๆ ได้แก่ Trust Wallet ที่ก่อตั้งโดย Viktor Radchenko ก่อนถูก Exchange ชื่อดังอย่าง Binance ซื้อไปในปี 2018 รองรับการใช้บน Mobile
ถัดมาคือ Exodus ก่อตั้งโดย JP Richardson โดยปัจจุบันรองรับสกุลเงินดิจิตัลกว่า 138 เหรียญ อีกหนึ่งจุดเด่นคือปัจจุบันมีให้บริการบนแทบทุกแพลตฟอร์มทั้ง Mobile: Android and iOS ส่วน Desktop: Windows, Mac, และ Linux
และสุดท้ายคือ Coinbase Wallet อีกหนึ่งกระเป๋าที่มี Exchange เป็นแบ็คอัพนั่นก็คือยักษ์ใหญ่อย่าง Coinbase ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ nasdaq ของอเมริกา ปัจจุบันแอพรองรับเฉพาะเวอร์ชั่น Mobile เท่านั้น
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีของกระเป๋าเงินคริปโตในแต่ละประเภทล้วนไม่เหมือนกัน เนื่องจากมีพัฒนาการตลอดเวลา และก็ยังมีหลาย Brand ให้เลือกอีกต่างหาก ดังนั้นเมื่อเราเริ่มตัดสินใจเข้าสู่โลกของคริปโตแล้วนั้น ก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องศึกษาเพิ่มเติม เพื่อเข้าใจในการทำงานของแต่ละกระเป๋า เพื่อเลือกกระเป๋าเงินที่น่าเชื่อถือและเหมาะที่จะดูแลสินทรัพย์ของเรามากที่สุดนั่นเอง
อ้างอิง coindesk
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด