กลางเดือนมีนาคม ปี 2023 โลกการเงินและวงการสตาร์ทอัพสะเทือนพร้อมกัน เมื่อชื่อของ Silicon Valley Bank (SVB) ปรากฏบนหน้าสื่อแทบทุกหัวข่าว นี่คือธนาคารที่อยู่คู่กับซิลิคอนวัลเลย์มากว่า 40 ปี จากสถาบันการเงินท้องถิ่นที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเทคโนโลยี กลายมาเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 16 ของสหรัฐฯ ด้วยสินทรัพย์รวมกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ใครจะคิดว่าเพียง 48 ชั่วโมง หลังจากการประกาศเพิ่มทุนเพื่อลดความเสี่ยง SVB จะพังทลายลง และกลายเป็นการล้มธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008

SVB ถือกำเนิดขึ้นในปี 1983 ณ แคลิฟอร์เนีย จุดเริ่มต้นไม่ใช่การเป็นธนาคารทั่วไปที่ใครๆ ก็เข้าถึง แต่เลือกจับกลุ่มชัดเจนคือ ธุรกิจเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ ที่ในเวลานั้นยังถูกมองว่าเสี่ยงเกินกว่าธนาคารทั่วไปจะสนใจ
สี่ทศวรรษถัดมา SVB กลายเป็นเหมือนสายเลือดการเงิน ที่คอยหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมเทคโนโลยี บริษัทใหญ่เล็กต่างเปิดบัญชีที่นี่ ตั้งแต่เงินเดือนพนักงาน เงินลงทุนจาก VC ไปจนถึงเงินสดสำรองสำหรับดำเนินธุรกิจ
เมื่อโควิด-19 ระบาดในปี 2020 สตาร์ทอัพและบริษัทเทคกลับเติบโตพุ่งขึ้นแบบสวนกระแส โลกทั้งใบหันมาใช้บริการออนไลน์และสินค้าเทคมากกว่าที่เคยเป็นมา เงินลงทุนทะลักเข้าสู่บริษัทเหล่านี้ และส่วนใหญ่ก็ไหลเข้ามาฝากไว้กับ SVB
ธนาคารจึงมีเงินฝากมากมาย คำถามคือจะเอาเงินจำนวนมหาศาลนี้ไปไว้ที่ไหน ? คำตอบของ SVB คือ ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นทางเลือกที่ดูมั่นคง แต่ทว่าความมั่นคงนี้กลับกลายเป็นกับดักที่รอวันปะทุ
เมื่อโควิดเริ่มซาไป ปัญหาใหม่ที่โลกเจอคือ เงินเฟ้อ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ตลอดปี 2022 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับดอกเบี้ยขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อสกัดเงินเฟ้อ จากใกล้ศูนย์พุ่งขึ้นกว่า 4.5% ภายในปีเดียว
ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ SVB ตัดสินใจลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว เพราะมันมีคุณสมบัติพิเศษ คือ ราคาของมันผกผันกับอัตราดอกเบี้ยแต่ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีโอกาสต่ำ และถือเป็นทางเลือกที่ดูมั่นคงและปลอดภัย
แต่พอธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย มูลค่าพันธบัตรที่ SVB ถืออยู่จึงร่วงลงอย่างหนัก กลายเป็นขาดทุนทางบัญชี ที่แม้ยังไม่ต้องจ่ายจริงแต่ก็ซ่อนความเปราะบางเอาไว้
หาก SVB ถือพันธบัตรจนหมดอายุ พวกเขาก็ยังได้เงินต้นคืน แต่ปัญหาคือ ลูกค้าเริ่มถอนเงินออกมา เพื่อประคองธุรกิจที่เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ธนาคารจึงต้องขายพันธบัตรออกมาก่อนกำหนด และนั่นหมายถึงการขาดทุนจริง
นี่คือวันที่ SVB ออกแถลงปรับพอร์ต–เพิ่มทุน ตัวเลขสำคัญคือ การเพิ่มทุน 1.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่ออุดรอยขาดทุนจากการขายพันธบัตรระยะยาวที่ราคาดิ่งตามดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งคำว่าเพิ่มทุนกลายเป็นสัญญาณไฟฉุกเฉินทันที
นักลงทุนและลูกค้าตีความทันทีว่าธนาคารกำลังขาดสภาพคล่อง เมื่อความเชื่อมั่นหายไป สิ่งที่ตามมาคือปรากฏการณ์ที่ธนาคารทุกแห่งกลัวที่สุด นั่นคือ Bank Run หรือปรากฏการณ์ที่ลูกค้าจำนวนมาก แห่กันถอนเงินจากธนาคารในเวลาเดียวกัน เพราะสูญเสียความเชื่อมั่นว่าธนาคารจะสามารถจ่ายคืนเงินฝากได้ครบถ้วน
วันที่ 1 หลังข่าวเริ่มแพร่สะพัด > ทันทีที่ SVB ประกาศเพิ่มทุน 1.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่ออุดรอยขาดทุน ข่าวนี้กลายเป็นสัญญาณเตือนชัดเจนว่าธนาคารมีปัญหาสภาพคล่อง บริษัทเทคหลายแห่งไม่รอช้า รีบโอนเงินสดก้อนใหญ่ไปยังธนาคารอื่นเพื่อป้องกันความเสี่ยง
วันที่ 2 จากการถอนเงินเฉพาะกลุ่มสู่กระแส Bank Run > เพราะเมื่อบริษัทใหญ่เริ่มถอน รายอื่นๆ ก็ทำตามทันที เพราะลูกค้า SVB ส่วนใหญ่ไม่ใช่รายย่อย แต่คือสตาร์ทอัพและบริษัทเทคที่มีเงินฝากระดับ หลายสิบล้านดอลลาร์ต่อบัญชี การถอนแต่ละครั้งจึงมีแรงกระแทกสูงกว่าธนาคารทั่วไป ทำให้สภาพคล่องของ SVB หายไปอย่างรวดเร็ว
SVB ล้มภายใน 48 ชั่วโมง > มูลค่ากว่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของ SVB หายวับ ธนาคารที่เคยเป็นเสาหลักของซิลิคอนวัลเลย์ กลายเป็นการล้มครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ นับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008
รัฐบาลสหรัฐฯ เลือกไม่อุ้มธนาคาร SVB ยังคงล้มลงจริงๆ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบการเงินสะเทือน รัฐบาลประกาศคุ้มครองเงินฝากของลูกค้าทั้งหมด 100% ทำให้บริษัทต่างๆ สามารถเข้าถึงเงินสดเพื่อนำไปจ่ายพนักงานและหมุนธุรกิจต่อไป ส่วนผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้บางส่วนไม่ได้รับการคุ้มครอง ต้องรับผลขาดทุนเต็มๆ
อ้างอิง: theguardian
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด