ทำไมใคร ๆ ก็ไปเท็กซัส สูตรลับ Texas Model ทำยังไงให้รัฐคาวบอยกลายเป็น Silicon Hills

ถ้าพูดถึงเท็กซัส ภาพแรกในหัวของหลายคนอาจยังเป็นคาวบอย หมวกปีกกว้าง ม้าควบฝุ่นคลุ้ง หรือทุ่งน้ำมันในแดดแรงกลางทะเลทราย ไม่ใช่แล็บวิจัย AI, เซิร์ฟเวอร์ของ Apple หรือโรงงาน Tesla ขนาด 7.9 ล้านตารางฟุต

แต่ในเวลาไม่ถึงสามทศวรรษ รัฐที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของอุตสาหกรรมน้ำมันและฟาร์มปศุสัตว์ กลับกลายเป็น Tech Mecca หรือแหล่งศูนย์รวมเทคโนโลยีแห่งใหม่ของอเมริกา ที่บริษัทระดับโลกอย่าง Apple, Google, Tesla, Oracle, Amazon, SpaceX, Meta, และ OpenAI ต่างพากันมาตั้งฐานการผลิต ศูนย์วิจัย, สำนักงานใหญ่ และสตาร์ทอัปนับพันที่เติบโตในพื้นที่ Austin จนคนอเมริกันเริ่มเรียกรัฐนี้ว่า Silicon Hills หรือ Tech Mecca of America

คำถามสำคัญคือ อเมริกาทำยังไงให้เท็กซัสกลายเป็นแบบนี้ได้ ?

จุดเริ่มต้น เมื่อรัฐคาวบอยอยากหลุดพ้นจากน้ำมัน

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เท็กซัสคือหนึ่งในรัฐที่ร่ำรวยที่สุดของอเมริกา เพราะมีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่พอเข้าสู่ทศวรรษ 1980 เศรษฐกิจของรัฐเริ่มสั่นคลอน ราคาน้ำมันผันผวนจนเกิดภาวะถดถอยทั่วรัฐ

ผู้นำเท็กซัสในตอนนั้นเริ่มคิดว่า เท็กซัสจะไม่สามารถอยู่ได้ด้วยน้ำมันตลอดไป พอเป็นอย่างนั้นจึงเริ่มมองหาทางออกใหม่ ซึ่งคำตอบก็คือ เทคโนโลยี

ในปี 1983 รัฐบาลเท็กซัสตัดสินใจลงทุนครั้งประวัติศาสตร์ มอบเงินกว่า 20 ล้านดอลลาร์ เพื่อดึงดูดองค์กรวิจัยเทคโนโลยีระดับชาติชื่อว่า MCC (Microelectronics and Computer Technology Corporation) ให้มาตั้งฐานในเมืองออสติน มันคือโครงการแรกๆ ของประเทศที่รวมบริษัทเทคหลายรายมาทำวิจัยร่วมกัน

และอีกไม่กี่ปีต่อมา SEMATECH ศูนย์วิจัยเซมิคอนดักเตอร์ของรัฐบาลกลาง ก็เลือกออสตินเป็นฐานเช่นกัน

ทั้ง 2 โครงการนี้ไม่ใช่เพียงการสร้างอาคารวิจัย แต่มันคือ “การลงรากอุตสาหกรรมเทคโนโลยี” ในดินแดนคาวบอย มันดึงดูดวิศวกร นักวิจัย และคนรุ่นใหม่จากทั่วประเทศให้ย้ายเข้ามา และสร้างวงจรแห่งนวัตกรรมที่ขยายต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ เบื้องหลังความสำเร็จของเท็กซัสมีชื่อหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ University of Texas at Austin (UT Austin) มหาวิทยาลัยแห่งนี้กลายเป็นเครื่องจักรผลิตนวัตกรรมให้กับทั้งรัฐ

ตั้งแต่ยุค 1970s ที่นี่ใช้ทุนวิจัยจากรัฐบาลกลางสร้างศูนย์ R&D และบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เช่น ในปี 1977 UT ตั้ง IC2 Institute สถาบันที่เชื่อมโยงงานวิจัยเข้ากับธุรกิจจริง และปลายยุค 1980 ก็เกิด Austin Technology Incubator ซึ่งช่วยผลักดันสตาร์ทอัปจำนวนมากเข้าสู่ตลาด

หนึ่งในเรื่องราวที่กลายเป็นตำนาน คือ Michael Dell นักศึกษาที่เริ่มขายคอมพิวเตอร์จากหอพัก ก่อนจะกลายเป็นผู้ก่อตั้ง Dell Computers บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่เติบโตจากดินแดนเท็กซัสเอง UT Austin จึงไม่ใช่แค่ผลิตนักศึกษา แต่ผลิตคนที่เปลี่ยนเศรษฐกิจของรัฐ

จุดสำคัญคือ รัฐที่สร้างระบบเอื้อต่อการเติบโต มากกว่าการควบคุม

ในสหรัฐอเมริกา มีรัฐไม่กี่แห่งที่นิยามตัวเองใหม่ได้สำเร็จเหมือนเท็กซัส จากดินแดนแห่งคาวบอยและน้ำมัน วันนี้กลายเป็นจุดหมายปลายทางของบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก

สิ่งที่ทำให้เท็กซัสแตกต่างจากรัฐอื่น ไม่ใช่แค่ราคาที่ดินหรือค่าครองชีพที่ถูกกว่า แต่คือ แนวคิดการบริหารแบบปล่อยให้ตลาดทำงาน ซึ่งนับเป็นบทเรียนที่น่าสนใจ เพราะรัฐเข้าใจหน้าที่ของตัวเองในเศรษฐกิจยุคใหม่

ผู้ว่าการ Greg Abbott เคยพูดไว้ในบทความ Texas Is Tech Mecca of America ว่า

ธุรกิจเทคโนโลยีเติบโตได้ในเท็กซัส เพราะเราสร้างระบบที่ให้เสรีภาพทางเศรษฐกิจเจริญได้เต็มที่ มีรัฐบาลขนาดเล็ก ภาษีต่ำ กฎระเบียบชาญฉลาด และสิทธิแรงงานที่เป็นธรรม

พูดง่ายๆ คือ รัฐไม่ได้แจกเงินเพื่อดึงบริษัทเข้ามา แต่สร้างสภาพแวดล้อมที่บริษัทอยากเข้ามาเอง แนวคิดนี้คือหัวใจของสิ่งที่เรียกว่า Texas Model ระบบการบริหารที่ไม่ได้ผลักภาคเอกชนให้อยู่ภายใต้กฎระเบียบมากมาย แต่สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้เองอย่างอิสระและยั่งยืน

สิ่งแรกที่ทำให้เท็กซัสโดดเด่นคือ โครงสร้างภาษีที่โปร่งใสและคาดเดาได้

รัฐนี้ไม่มีภาษีรายได้บุคคลเลย นั่นหมายความว่า ไม่ว่าคุณเป็นพนักงานหรือผู้ก่อตั้งบริษัท คุณจะไม่โดนหักรายได้ไปกับรัฐแม้แต่แดงเดียว ส่วนภาษีธุรกิจก็อยู่ในระดับต่ำสุดของประเทศ แทนที่จะเก็บภาษีนิติบุคคลแบบทั่วไป เท็กซัสเก็บเพียง Franchise Tax อัตราประมาณ 0.3–0.7% และถ้าธุรกิจมีรายได้ไม่ถึง 1.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ก็ไม่ต้องเสียเลย

นอกจากนี้ รัฐยังออกกฎหมายยกเว้นภาษีขายสำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Center) และบริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยเฉพาะ ทำให้บริษัทที่ต้องลงทุนหนักในเครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถประหยัดต้นทุนได้มาก

ไม่แจกเงิน แต่จ่ายตามผลงาน

แทนที่จะใช้นโยบายแจกงบก้อนใหญ่ล่วงหน้า เท็กซัสเลือกใช้วิธีที่ตรงไปตรงมา คือจ่ายเมื่อเกิดผลจริง กองทุน Texas Enterprise Fund (TEF) ถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นกองทุนปิดดีล ใช้จ่ายดึงดูดบริษัทต่างชาติหรือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่กำลังมองหาที่ตั้งใหม่ แต่รัฐจะจ่ายเงินสนับสนุน ต่อเมื่อบริษัทสร้างงานและลงทุนได้ตามเป้า

พลังของกฎแรงงานแบบเปิด

เท็กซัสเป็นรัฐที่มีระบบ Right-to-Work ซึ่งหมายความว่าพนักงานไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมสหภาพแรงงานเพื่อทำงานได้ แม้ฟังดูเล็กน้อย แต่สิ่งนี้ทำให้บริษัทสามารถปรับโครงสร้าง จ้างงาน หรือขยายทีมได้คล่องตัวขึ้น

แต่ก็แน่นอนว่า รัฐไม่ได้ปล่อยปละละเลยยังคงมีคณะกรรมาธิการแรงงาน ดูแลด้านสิทธิมนุษย์แรงงานอยู่ แต่กฎระเบียบโดยรวมเบาลงพอให้ธุรกิจหมุนได้เร็ว

พลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐลงทุนเพื่อรองรับอนาคต

อีกหนึ่งความได้เปรียบของเท็กซัส คือการมีโครงข่ายไฟฟ้าเป็นของตัวเอง คือ ระบบที่ชื่อ ERCOT (Electric Reliability Council of Texas) ทำให้รัฐสามารถบริหารไฟได้อิสระจากรัฐบาลกลาง และที่สำคัญ ค่าไฟอุตสาหกรรมของเท็กซัสถูกกว่าค่าเฉลี่ยของอเมริกามาก

นอกจากนี้ รัฐยังลงทุนขยายสายส่งไฟฟ้าขนาดใหญ่ (super-high voltage line) เพื่อรองรับความต้องการของโรงงาน AI, ศูนย์ข้อมูล และอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ และหลังเหตุพายุหนาวปี 2021 รัฐยังปรับกติกาใหม่ ให้ศูนย์ข้อมูลและโรงงานขนาดใหญ่ต้องมีแผนพลังงานสำรอง เพื่อไม่ให้ระบบไฟล่มทั้งรัฐ

ระบบอนุญาตและผังเมืองที่ไวและชัด

บริษัทเทคที่ย้ายมาจากแคลิฟอร์เนียต่างพูดเหมือนกันว่าการขออนุญาตสร้างโรงงานในเท็กซัสเร็วกว่าเดิมหลายเท่า เพราะรัฐไม่ได้สร้างขั้นตอนยิบย่อย แต่ใช้หลักตั้งมาตรฐานใหญ่ แล้วให้เอกชนหาทางทำเอง ผลคือธุรกิจไม่ต้องจมอยู่กับเอกสารและการรออนุมัติที่ยืดเยื้อ รัฐจึงกลายเป็นเหมือนผู้เร่งเครื่องแทนที่จะเป็นผู้เบรก

2025 มีบิ๊กเทคลงทุนใน Texas เท่าไหร่ ?

ปี 2025 เท็กซัสกำลังกลายเป็น สนามรบใหม่ของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีที่ต่างแห่กันเข้ามาปักธง เปิดศูนย์ข้อมูล โรงงานผลิต และโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI มูลค่ามหาศาล

เปิดฉากด้วยข่าวใหญ่จาก Apple ที่ประกาศลงทุนกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั่วอเมริกาใน 4 ปี โดยหนึ่งในโครงการหลักคือโรงงานผลิตเซิร์ฟเวอร์ในเมือง Houston ที่จะผลิตอุปกรณ์รองรับ Apple Intelligence หรือระบบ AI ของบริษัทเอง

ตามมาด้วย Meta (Facebook) ก็ประกาศสร้างศูนย์ข้อมูล AI มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ El Paso ออกแบบให้รองรับพลังประมวลผลระดับ 1 กิกะวัตต์ (GW) 

ส่วน Microsoft ที่ปักหลักในเท็กซัสมานานแล้ว ก็กำลังขยายศูนย์ข้อมูลใหม่ใน Medina County ด้วยงบประมาณราว 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อรองรับบริการคลาวด์และ AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

และโครงการที่ใหญ่ที่สุด จนกลายเป็นตำนานในวงการเทคโนโลยีปีนี้ คือ Stargate Project ของ OpenAI ร่วมกับ Oracle และ SoftBank โครงการนี้ถูกวางให้เป็นระบบประสาทของ AI สหรัฐฯ มูลค่ารวมกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเริ่มก่อสร้างศูนย์ข้อมูลหลักในเมือง Abilene, Texas พื้นที่เกือบ 900 เอเคอร์ ใช้พลังงานมากกว่า 200 เมกะวัตต์ในเฟสแรก และขยายได้ถึง 1.2 กิกะวัตต์ในอนาคต

สำหรับโครงการ Stargate นี้ Oracle ยังประกาศทุ่มงบเพิ่ม 40 พันล้านดอลลาร์ สำหรับซื้อชิป Nvidia GPU เพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูลแห่งนี้โดยเฉพาะ

การที่เท็กซัสกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของอเมริกา ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย และไม่ใช่เพียงผลจากการไหลออกของบริษัทจากแคลิฟอร์เนีย แต่เกิดจากการวางหมากระยะยาวตั้งแต่กว่า 40 ปีก่อน ตั้งแต่เงินลงทุน $20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เมือง Austin ใช้ซื้อนวัตกรรมและอนาคต จนเกิดคลัสเตอร์เทคโนโลยีที่เติบโตไม่หยุด

วันนี้ Texas Model ได้พิสูจน์แล้วว่า การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อธุรกิจ เสรีภาพทางเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีใหม่ คือสูตรลับของการเปลี่ยนรัฐทั้งรัฐให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลก เงินก้อนเล็กในวันนั้น คือจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนรัฐคาวบอยให้กลายเป็นบ้านของ Apple, Tesla, Google, Meta, SpaceX และ Oracle ในวันนี้

อ้างอิง: medium, techbehemoths, inc, openai, reuters, apple

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ‘Starlink’ จักรวาลอินเทอร์เน็ตของ Elon Musk และยุคไร้จุดอับสัญญาณ

เจาะลึกประวัติศาสตร์ Starlink เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตดาวเทียมพลิกโลกของ Elon Musk ตั้งแต่นวัตกรรม V2 Mini, Laser Links, Direct-to-Cell จนถึงบทบาทสำคัญในสงครามและภารกิจกู้ภัยน้ำท่วมหา...

Responsive image

เนเธอร์แลนด์กับสงครามน้ำพันปี ถอดรหัส ‘Delta Works’ จากปัญหามหาอุทกภัย สู่การบริหารจัดการแบบปรับตัว

เจาะลึก Delta Works โครงการป้องกันน้ำท่วมระดับโลกของเนเธอร์แลนด์ จากหายนะปี 1953 สู่สิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรม และโมเดล Adaptive Delta Management รับมือ Climate Change...

Responsive image

เบื้องหลัง 30 ปี SolidWorks จากโปรแกรมเดสก์ท็อป สู่เครื่องมือปลดปล่อยจินตนาการวิศวกร

ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ซอฟต์แวร์ 3D CAD ถือเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ยากมาก จึงทำให้ SOLIDWORKS ต้องการสร้างซอฟต์แวร์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ จนในปี 1995 ซอฟต์แวร์ 3D CAD ตัวแรกของโลกที...