
หากพูดถึงอุปกรณ์ที่เป็นตัวช่วยด้านสุขภาพของคนยุคในนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนจะต้องนึกถึง Smart Watch ยอดฮิตตลอดกาล อย่าง Apple Watch ที่มาพร้อมฟังก์ชันติดตามการออกกำลังกายและข้อมูลสุขภาพต่างๆ เช่น การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การวัดระดับออกซิเจนในเลือด การติดตามการนอนหลับ การวัดเมตริกการออกกำลังกาย และอื่นๆ อีกมากมาย
ซึ่งสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่อยากได้ทั้งความเก๋ และอยากติดตามข้อมูลเรื่องสุขภาพของตนเองนั้น ใส่ Apple Watch ถือว่าเหมาะมาก
แต่สำหรับนักศึกษาหนุ่มอย่าง Will Ahmed ผู้ก่อตั้ง WHOOP ในปี 2012 อาจไม่ใช่แค่นั้น เพราะเมื่อครั้งที่เขาศึกษาที่ Harvard University เขาเป็นนักกีฬาที่มีความสงสัยในร่างกายของตัวเอง ว่าการซ้อมกีฬาหนักๆ แบบเอาเป็นเอาตาย จะทำให้ร่างกายแข็งแรงและสามารถชนะการแข่งขันกีฬาได้จริงหรือ ซึ่งผลลัพธ์ที่เขาสังเกตได้ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น เพื่อแก้ปัญหาการขาดการพักผ่อนและการฟื้นตัวที่เหมาะสมของนักกีฬา เขาจึงคิดค้นสิ่งที่จะเข้ามาช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับร่างกายเหล่านี้ นั่นจึงเป็นจุดกำเนิดของ WHOOP แบรนด์สายรัดเพื่อสุขภาพที่กลายมาเป็น Game-Changer ของอุตสาหกรรม Wearable ในเวลาต่อมา
หากย้อนไปในปี 2012 ที่ Harvard University นักกีฬาหนุ่มไฟแรง Will Ahmed กำลังตั้งคำถามที่คนส่วนใหญ่อาจไม่เคยนึกถึง “ทำไมนักกีฬาถึงรู้ว่าต้องซ้อมหนักแค่ไหน แต่ไม่เคยรู้เลยว่าควรพักเมื่อไหร่?”
คำถามเล็กๆ นี้คือจุดกำเนิดของ WHOOP แบรนด์สายรัดเพื่อสุขภาพที่เชื่อว่าประสิทธิภาพของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนชั่วโมงที่ซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของการพักผ่อนและการฟื้นตัว (Recovery) ด้วย
แต่แทนที่จะสร้าง “Smart Watch อีกหนึ่งแบรนด์” เขากลับเลือกสร้างอุปกรณ์ที่ “ไม่มีหน้าจอ” แต่ทำหน้าที่เป็นเหมือนเซ็นเซอร์ติดตัว ที่บันทึกข้อมูลร่างกายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วย “AI”
ในยุคที่ Apple, Garmin, Fitbit ต่างแย่งชิงพื้นที่ด้วยนาฬิกาที่เต็มไปด้วยฟีเจอร์ล้ำๆ WHOOP กลับเลือกทางตรงข้าม คือ “ไม่มีหน้าจอ ไม่มีการแจ้งเตือน ไม่มีฟีเจอร์จับเวลา”
สิ่งที่ WHOOP โฟกัสมีเพียง 3 อย่าง:
ซึ่งสิ่งที่ทำให้ WHOOP “แตกต่าง” จริงๆ ไม่ใช่ตัวฮาร์ดแวร์ แต่คือ โมเดลธุรกิจแบบ Subscription ที่ทำให้ลูกค้าไม่ต้องจ่ายเงินซื้ออุปกรณ์ในราคาหลักหมื่น แต่หันมาจ่ายค่าสมาชิกเพื่อเข้าถึงแพลตฟอร์มข้อมูลและโค้ชดิจิทัล ที่แปลค่าตัวเลขให้เข้าใจง่าย กล่าวได้ว่า WHOOP ไม่ได้ขาย “สายรัด” แต่ขาย ประสบการณ์และการตัดสินใจที่ดีขึ้นในชีวิต
ช่วงแรก WHOOP ถูกมองว่าเป็นสินค้าสำหรับนักกีฬาสาย Performance เท่านั้น แต่ไม่นานนักกีฬามืออาชีพระดับโลกก็เริ่มหันมาใช้ ตั้งแต่นักกอล์ฟอย่าง Rory McIlroy จนถึงนักกีฬาทีม NFL และ NBA
การที่ WHOOP ถูกเลือกใช้โดยนักกีฬาอาชีพ กลายเป็นจุดยืนยันว่า นี่ไม่ใช่แค่แกดเจ็ต แต่คือเครื่องมือจริงจัง ข้อมูลจาก WHOOP ถูกนำไปใช้ปรับตารางซ้อม ลดการบาดเจ็บ และเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน
วันนี้ WHOOP เดินทางมาถึงรุ่น WHOOP 4.0 ที่เล็กลง เบากว่าเดิม ใส่สบายตลอดวัน แบตอึด และยังมี Battery Pack ที่ชาร์จแบบไม่ต้องถอดสายออกจากข้อมือ
ในเชิงธุรกิจ WHOOP ยังคงยึดโมเดลสมาชิกเป็นหลัก และขยายฐานจากนักกีฬาอาชีพสู่คนทั่วไปที่อยาก Optimize สุขภาพ เช่น ผู้บริหารที่ต้องการนอนให้มีคุณภาพขึ้น คนทำงานที่อยากลดความเครียด หรือแม้แต่คนที่อยากรู้ว่า “ทำไมวันนี้ตื่นมาแล้วไม่สดชื่น”
หากคุณอยากได้ “นาฬิกาอัจฉริยะ” ที่เช็กข้อความ ฟังเพลง จ่ายเงินแทนบัตรเครดิต Apple Watch คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด
แต่ถ้าคุณต้องการ “โค้ชเงียบๆ” ที่ติดตามร่างกายคุณ 24 ชั่วโมง แล้วสะกิดบอกเบาๆ ว่า
WHOOP ไม่ได้แค่ขายอุปกรณ์ Wearable แต่ขาย “การตัดสินใจที่ดีขึ้นในชีวิตประจำวัน” จุดแข็งของมันคือการไม่พยายามเป็นทุกอย่าง แต่เลือกโฟกัสที่การวิเคราะห์เชิงลึก และเปลี่ยนข้อมูลดิบให้เป็น Actionable Insight ที่ใช้ได้จริง
ในยุคที่ผู้คนอยากทั้งทำงานเก่งขึ้น ฟิตขึ้น และนอนดีขึ้น บางทีสิ่งที่เราต้องการอาจไม่ใช่นาฬิกาอัจฉริยะที่ทำได้ทุกอย่าง แต่คือสายรัดเล็กๆ อย่าง WHOOP ที่คอยกระซิบถามเราทุกวันว่า…“ร่างกายของเรา พร้อมจริงๆ หรือยัง?”
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด