มะเร็งปอด ไม่ได้เป็นเพียงโรคของผู้สูงอายุหรือผู้ที่สูบบุหรี่จัดอีกต่อไป แต่กลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อย ผู้หญิง หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัจจัยเสี่ยงใหม่ๆ อย่างฝุ่น PM2.5 และพันธุกรรมที่แฝงอยู่ในร่างกาย
ซึ่งการจัดเสวนาให้ความรู้เรื่องมะเร็งปอดครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เมดเทค (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งปอดมาให้ข้อมูลและแนะนำวิธีตรวจคัดกรองตั้งแต่ระยะแรก เพื่อให้เข้าใจ รู้ถึงความเสี่ยง และสามารถป้องกันได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

พญ.ประพินทุ์ภา จงกิตติพงศ์ อายุรแพทย์โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้ให้ภาพรวมว่าแม้ตอนนี้แนวโน้มการสูบบุหรี่จะลดลง แต่มะเร็งปอดยังคงเป็นปัญหาสุขภาพอันดับต้น ๆ อยู่ดี ข้อมูลชี้ว่าผู้ป่วยมะเร็งปอดในไทยมีจำนวนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ป่วยรายใหม่กว่า 23,000 รายต่อปี หรือเฉลี่ยแล้วมีคนไทยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดรายใหม่ 2.4 คนในทุกๆ ชั่วโมง และมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยถึงวันละ 41 คน ที่น่าตกใจคือกว่า 70% ของผู้ป่วยมักตรวจเจอโรคในระยะลุกลามแล้ว ซึ่งทำให้การรักษายากและมีโอกาสหายน้อยลง
ซึ่งตอนนี้ภาพจำเดิมๆ ของผู้ป่วยมะเร็งปอดได้เปลี่ยนไปแล้ว สะท้อนผ่านกรณีของคุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล ที่ดูแลสุขภาพดีมาตลอด แต่กลับตรวจพบมะเร็งปอดระยะสุดท้ายในวัย 28 ปี ซึ่งได้สร้างความตระหนักรู้ให้สังคมอย่างกว้างขวาง ซึ่งปัจจุบันมะเร็งปอดพบในผู้ป่วยที่เป็นผู้หญิงอายุน้อยและไม่สูบบุหรี่มากขึ้น โดยมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ PM2.5 (ซึ่งองค์การอนามัยโลกจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1) และ ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ของยีน EGFR ที่พบได้สูงถึง 50-60% ในคนเอเชีย

รศ. นพ. ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ทรวงอก ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดส่องกล้องปอดและต่อมไทมัส โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้ให้ข้อมูลว่า "ผู้หญิงเอเชียอายุ 40 ปีขึ้นไปที่ไม่เคยสูบบุหรี่มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดถึง 1.5% ซึ่งน่าประหลาดใจว่าสูงกว่าโอกาส 1% ของกลุ่มที่สูบบุหรี่"
และเสริมว่าการรอให้เกิดอาการอาจสายเกินไป เพราะเพียงแค่การตัดสินใจรอติดตามผล 3 เดือน ก็อาจทำให้ก้อนมะเร็งขนาด 1 เซนติเมตร (อัตราการรอดชีวิต 92%) โตขึ้นเป็น 2.5 เซนติเมตร ซึ่งจะทำให้อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปี ลดลงไปถึง 15% ทันที
ด้วยความที่การตัดสินใจมันซับซ้อนและเดิมพันสูงแบบนี้ (ว่าจะรอดี หรือจะผ่าเลย) การรักษาจึงไม่ใช่ One Man Show ที่แพทย์คนเดียวจะกำหนดได้ แต่เป็นการทำงานร่วมกันของทีมสหสาขา ทั้งศัลยแพทย์ รังสีแพทย์ และอายุรแพทย์โรคปอด ที่จะร่วมกันวิเคราะห์เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดีและเหมาะสมที่สุด
หัวใจของการต่อสู้กับมะเร็งปอดคือ "การตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ" พญ.ประพินทุ์ภา ย้ำว่าหากตรวจพบมะเร็งในระยะที่ 1 ซึ่งก้อนยังมีขนาดเล็กและยังไม่แพร่กระจาย อัตราการรอดชีวิตใน 5 ปีจะสูงถึง 90% แต่หากตรวจเจอในระยะที่ 4 ตัวเลขดังกล่าวจะลดลงเหลือเพียง 20% เท่านั้น
ในอดีตการเอกซเรย์ปอดแบบธรรมดามีข้อจำกัดในการตรวจหาก้อนขนาดเล็กกว่า 8 มิลลิเมตร แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีได้ก้าวไปไกลมาก การตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ปริมาณรังสีต่ำ หรือ Low-dose CT (LDCT) กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงสูง เพราะสามารถให้ภาพตัดขวางที่มีความละเอียดสูง เปรียบเสมือนการหั่นกล้วยเป็นแว่นๆ ทำให้เห็นรายละเอียดภายในทั้งหมด ต่างจากการเอกซเรย์ธรรมดาที่เหมือนการถ่ายภาพด้านหน้าและหลัง ซึ่งเห็นเพียงเปลือกกล้วยเท่านั้น
นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลพญาไท 1 ยังได้นำเทคโนโลยี AI อย่าง “Inspectra CXR” เข้ามาช่วยวิเคราะห์ภาพเอกซเรย์ปอด ซึ่ง AI ตัวนี้เปรียบเสมือนมีผู้เชี่ยวชาญคนที่สองมาช่วยอ่านผล โดยได้รับการฝึกฝนจากภาพเอกซเรย์กว่า 1.9 ล้านภาพ และ 60% มาจากประชากรเอเชีย ทำให้ AI มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจร่างกายของคนเอเชียเป็นพิเศษ สามารถตรวจจับรอยโรคขนาดเล็กที่อาจซ่อนอยู่หลังเงาหัวใจหรือกระดูก ซึ่งเป็นจุดที่สายตามนุษย์อาจมองข้ามไปได้
และเมื่อเทคโนโลยีช่วยให้เราตรวจพบก้อนเนื้อได้เร็วขึ้น คำถามต่อมาคือ "จะรักษาต่ออย่างไร?" โดยเฉพาะเมื่อก้อนเนื้อมีขนาดเล็กเพียง 5-8 มิลลิเมตร
ในอดีตการผ่าตัดมะเร็งปอดคือการ "ผ่าตัดเปิดหน้าอก" ซึ่งต้องเปิดแผลยาวและถ่างซี่โครงทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดอย่างรุนแรงและใช้เวลาพักฟื้นนานมาก ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เปลี่ยนไปสู่การผ่าตัดส่องกล้องแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery) ที่แม่นยำและเจ็บน้อยลงมาก

สำหรับผู้ป่วยในระยะลุกลาม พญ.พจีพธู วรรณรัตน์ อายุรแพทย์สาขามะเร็งวิทยาลัย โรงพยาบาลพญาไท 1 เล่าว่าในอดีตถ้าตรวจเจอมะเร็งระยะที่ 4 คนไข้มักมีทางเลือกเดียวคือการทำเคมีบำบัด แต่ปัจจุบันเราเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า "Precision Oncology" หรือการรักษาแบบจำเพาะรายบุคคลแล้ว นี่คือการรักษามะเร็งโดยดูจาก "พันธุกรรม" ของก้อนมะเร็งก้อนนั้นๆ
การรักษาแบบแรกคือ "ยามุ่งเป้า" ส่วนใหญ่จะเป็น "ยากิน" หมอจะส่งชิ้นเนื้อมะเร็งไปตรวจหาก่อนว่ามีการกลายพันธุ์ของยีนที่มียารักษาหรือไม่ เช่น ยีนที่ชื่อ EGFR หรือ ALK ถ้าเจอ ยานี้ก็จะเข้าไปขัดขวางการเติบโตของมะเร็งที่จุดนั้นๆ ข้อดีคือผลข้างเคียงจะน้อยกว่าเคมีบำบัดมาก เช่น ผมไม่ร่วงและยังออกฤทธิ์เร็วด้วยพญ.พจีพธู ได้ยกตัวอย่างเคสผู้ป่วยหญิงที่ไม่สูบบุหรี่ ตรวจพบยีน EGFR พอกินยาไปสักพักก็เกิดการดื้อยา หมอจึงตรวจเลือดซ้ำ และพบว่ามันกลายพันธุ์เป็นชนิด T790M ก็เลยเปลี่ยนไปให้ยามุ่งเป้ารุ่นที่ 3 ผลคือก้อนมะเร็งยุบลงชัดเจนใน 1 เดือน และคนไข้ก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติมานาน 7-8 ปี
อีกแบบคือ "ภูมิคุ้มกันบำบัด" ซึ่งเป็น "ยาฉีด" ยาตัวนี้จะทำงานต่างออกไป มันไม่ได้ไปฆ่ามะเร็งโดยตรง แต่จะเข้าไป "ปลุก" ระบบภูมิคุ้มกัน หรือเม็ดเลือดขาวของเราให้ตื่นตัว พอมันตื่นตัวเต็มที่ เม็ดเลือดขาวก็จะแข็งแรงขึ้นและกลับมามองเห็นว่าเซลล์มะเร็งคือศัตรู แล้วก็เข้าไปทำลาย"ยาชนิดนี้จะใช้ได้ผลดีในคนที่ตรวจแล้วพบว่าเซลล์มะเร็งมีโปรตีนที่ชื่อ PD-L1 สูงๆ ตัวอย่างเช่น มีเคสผู้ป่วยที่มะเร็งลามไปที่คอ ซึ่งตรวจไม่เจอยีนที่ใช้ยามุ่งเป้าได้เลย แต่กลับมีค่า PD-L1 สูงมาก หมอจึงให้ภูมิคุ้มกันบำบัดเพียงอย่างเดียว ผลปรากฏว่ามะเร็งตอบสนองดีมาก
สุดท้ายต่อให้เทคโนโลยีการรักษาจะล้ำขนาดไหน แต่คุณหมอทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "การตรวจเจอให้เร็ว คือสิ่งที่สำคัญที่สุด" เพราะตัวเลขมันฟ้องชัดเจนว่าถ้าเจอโรคตั้งแต่ระยะแรก โอกาสรอดชีวิตใน 5 ปีจะสูงถึง 90% แต่ถ้าไปเจอตอนระยะสุดท้าย โอกาสนั้นจะลดฮวบเหลือแค่ 10-20% เท่านั้น
แต่ปัญหาคือคนส่วนใหญ่ยัง "กลัว" ที่จะมาตรวจ ซึ่ง พญ.ประพินทุ์ภา ย้ำว่าการตรวจเจอก้อนในปอด "ไม่ได้แปลว่าเป็นมะเร็งเสมอไป" มันอาจเป็นแค่รอยแผลเก่าจากการติดเชื้อก็ได้ โดยชี้ว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดจริงๆ ไม่ใช่การเจอมะเร็ง แต่คือ "การไม่ยอมมาตรวจเพราะความกลัว"
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด