
ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งปฏิวัติวงการแพทย์ เมื่อชิปขนาดจิ๋วที่ฝังในดวงตา สามารถฟื้นฟูการมองเห็นส่วนกลางให้กับผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมตามวัย (Age-related Macular Degeneration - AMD) ชนิดที่รักษาไม่หายได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
นวัตกรรมนี้มีชื่อว่า ‘PRIMA system’ พัฒนาโดยทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ และเพิ่งเสร็จสิ้นการทดสอบในโรงพยาบาล 17 แห่งทั่วยุโรป ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผู้ป่วย 26 คนจาก 32 คน (คิดเป็น 81%) ที่ใช้งานระบบนี้นาน 12 เดือน สามารถกลับมามองเห็นส่วนกลางได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และหลายคนถึงกับกลับมาอ่านหนังสือได้อีกครั้ง

การสูญเสียการมองเห็นจากภาวะ ‘Geographic Atrophy’ (GA) ซึ่งเป็นรูปแบบรุนแรงของ AMD ถือเป็นฝันร้ายของผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก ภาวะนี้เกิดจากเซลล์รับแสง (Photoreceptor cells) ใน ‘Macula’ หรือจุดรับภาพชัดบริเวณกลางจอประสาทตา ค่อยๆ ตายไป ทำให้เกิด ‘จุดบอด’ ขนาดใหญ่ตรงกลางการมองเห็น แม้การมองเห็นส่วนขอบจะยังดีอยู่ แต่การสูญเสียการมองเห็นส่วนกลางทำให้กิจกรรมในชีวิตประจำวันอย่างการอ่านหนังสือหรือการจดจำใบหน้าเป็นไปได้ยาก
"นี่เป็นครั้งแรกที่ความพยายามในการฟื้นฟูการมองเห็นประสบผลสำเร็จเช่นนี้ในผู้ป่วยจำนวนมาก" จักษุแพทย์ José-Alain Sahel จาก University of Pittsburgh School of Medicine หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว "ผู้ป่วยมากกว่า 80% สามารถอ่านตัวอักษรและคำต่างๆ ได้ นี่คือสิ่งที่เราไม่เคยกล้าฝันถึงเมื่อเราเริ่มต้นการเดินทางนี้เมื่อ 15 ปีที่แล้ว"
PRIMA คือผลงานชิ้นเอกด้านวิศวกรรมการแพทย์จากแนวคิดของ Daniel Palanker จักษุแพทย์แห่ง Stanford University ระบบนี้ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก:
ความอัจฉริยะอยู่ตรงที่ แสงอินฟราเรดใกล้นั้นดวงตามนุษย์มองไม่เห็น มันจึงไม่รบกวนการมองเห็นส่วนขอบที่ยังดีอยู่ของผู้ป่วย เมื่อชิปได้รับแสงอินฟราเรด มันจะแปลงพลังงานแสงนั้นเป็นสัญญาณไฟฟ้า (ใช่แล้ว มันใช้พลังงานจากแสงโดยตรง ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่!) แล้วส่งสัญญาณไฟฟ้านี้ไปยังสมองเพื่อตีความเป็นภาพ เปรียบเสมือนการสร้างทางด่วนพิเศษข้ามเซลล์รับแสงที่ตายไปแล้วนั่นเอง

หลังจากผ่านการทดสอบทางคลินิกหลายขั้นตอน ทีมวิจัยได้ทดลองกับผู้ป่วย 38 คน (ติดตามผลได้ 32 คน) ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 79 ปี ผู้ป่วยต้องใช้เวลาหลายเดือนในการ 'เรียนรู้' ที่จะมองเห็นอีกครั้ง โดยฝึกตีความสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นภาพ และเรียนรู้การใช้ฟังก์ชันอย่างการซูม
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (81%) มีการมองเห็นที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยบางคนมีระดับการมองเห็นเกือบถึง 20/420 ซึ่งเป็นขีดจำกัดความละเอียดของชิป PRIMA ในปัจจุบัน
Sheila Irvine หนึ่งในผู้ป่วยที่เข้าร่วมการทดลอง เล่าถึงประสบการณ์ว่า "ก่อนฝังชิป มันเหมือนมีแผ่นดิสก์สีดำสองแผ่นอยู่ในตา" เธอกล่าว "ฉันเคยเป็นหนอนหนังสือ... และมันน่าตื่นเต้นมาก (dead exciting) เมื่อฉันเริ่มเห็นตัวอักษรอีกครั้ง"
แม้จะมีผู้เข้าร่วม 19 คนพบผลข้างเคียงบ้าง แต่ทั้งหมดเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ทั่วไปจากการผ่าตัดตาและส่วนใหญ่แก้ไขได้รวดเร็ว ที่สำคัญคือ การมองเห็นส่วนขอบของผู้ป่วยทุกคนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
ปัจจุบัน PRIMA ยังแสดงผลได้แค่ ‘ขาว-ดำ’ ซึ่ง Palanker ยอมรับว่าเป็นข้อจำกัดอันดับหนึ่งที่ผู้ป่วยอยากได้คือการอ่าน แต่สิ่งที่สองที่ตามมาติดๆ คือการจดจำใบหน้า และการจดจำใบหน้าต้องใช้สีเทา (Grayscale)
ทีมวิจัยกำลังเร่งพัฒนาชิปรุ่นต่อไปที่จะมีพิกเซลเล็กลง ความละเอียดสูงขึ้น รองรับ Grayscale และมาพร้อมกับแว่นตาที่ดูโฉบเฉี่ยวกว่าเดิม งานวิจัยฉบับเต็มได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ชื่อดัง New England Journal of Medicine ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่เทคโนโลยี Deep Tech ทางการแพทย์กำลังจะเปลี่ยนชีวิตผู้คนไปตลอดกาล
ที่มา: sciencealert.com
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด