ผลงานฉบับละเอียด 100 วันแรกของ Joe Biden หลังขึ้นแท่นประธานาธิบดีสหรัฐฯ | Techsauce

ผลงานฉบับละเอียด 100 วันแรกของ Joe Biden หลังขึ้นแท่นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

Joe Biden ได้เข้าสาบานตนตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ไปเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ที่ผ่านมา ท่ามกลางการแพร่ระบาด COVID-19 และภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่สุดในประวัติการณ์ ยังไม่รวมไปถึงวิกฤตสังคมด้านเชื้อชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งหมดนี้นับเป็นความท้าทายที่ถาโถมเข้ามา ดังนั้นเพื่อการปกครองในยุคสมัยของเขาได้อย่างราบรื่น  Biden จึงต้องรีบสะสางปัญหาทั้งหมด

Joe Biden

เพื่อสร้างนิยาม “ประธานาธิบดีสหรัฐฯ“ ใหม่หลังยุคทรัมป์ โดยภารกิจทั้ง 6 ที่ Biden ให้คำมั่นว่าจะทำให้เสร็จสิ้นภายใน 100 วันแรก ได้แก่ ปัญหา COVID-19,ปัญหาเศรษฐกิจ,วิกฤตสภาพภูมิอากาศ, ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ, การย้ายเข้าประเทศจากกลุ่มผู้อพยพ และการปรับจุดยืนอเมริกาที่มีต่อประชาคมโลก (นโยบายการต่างประเทศ) และเมื่อ 20 เมษายนที่ผ่านมาก็ครบ 100 วันแล้ว มาดูกันว่าภารกิจที่ Joe Biden ให้ความสำคัญนั้น มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง

Joe Biden กับการจัดการปัญหา COVID-19

  • จัดตั้งทีมเฉพาะกิจด้านความเสมอภาคทางสุขภาพในยุค  COVID-19 

ย้อนกลับไปในช่วงการหาเสียง Joe Biden ได้ให้คำมั่นว่าจะจัดตั้งทีมเฉพาะกิจด้านความเสมอภาคทางสุขภาพในยุค COVID-19 (COVID-19 Health Equity Task Force) เพื่อรับมือกับวิกฤตโรคระบาดที่เกิดขึ้น เมื่อผ่านไป 100 วันพบว่า  Biden สามารถทำได้สำเร็จ

โดยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2021 ทำเนียบขาวได้ประกาศรายชื่อทีมงานมืออาชีพที่จะคอยให้ความช่วยเหลือทีมบริหาร Biden ในการดูแลเรื่องความไม่เท่าเทียมด้านสุขภาพและสังคมอันเกิดจากผลกระทบจาก COVID-19 ซึ่งสมาชิกทั้งหมด 13 คน มาจากวัย ชาติพันธุ์ เพศ สาขาวิชาที่หลากหลาย ภายใต้การนำของ Dr. Marcella Nunez-SMith แพทย์ระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยล

  • ผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 โดยทันที

ในการแก้ไขปัญหาด้านแรงงานอันยืดเยื้อมานานตั้งแต่สมัยรัฐบาลทรัมป์ เมื่อ Joe Biden เข้าดำรงตำแหน่งได้ไม่นาน เขาก็ได้ลงนามร่างกฎหมายเยียวยาเศรษฐกิจจาก COVID-19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การจ่ายเช็คช่วยเหลือชาวอเมริกัน 1,400 ดอลลาร์จนสำเร็จ  แต่อย่างไรก็ตามนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงยังไม่ถูกบังคับใช้ เนื่องจากวุฒิสภาพรรคริพับลิกันยังไม่โหวตรับรอง

  • แจกจ่ายวัคซีนชาวอเมริกันให้ครบ 100 ล้าน Dose ภายใน 100 วัน 

นี่ถือว่าเป็นความสำเร็จที่จับต้องได้อย่างแท้จริง โดยไบเดนพยายามส่งเสริมให้ประชาชนชาวอเมริกันได้รับวัคซีนโดยเร็วและทั่วถึง เช่นการจัดพื้นที่ฉีดวัคซีนแบบ drive-through จัดซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตหลายแห่ง จนทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเมื่อผ่านไป 100 วัน มีชาวอเมริกันได้รับวัคซีนทั้งหมด 215 ล้านโด๊ส คิดเป็น 40% จากประชากรทั้งหมด และมีประชากรกว่า 27% ได้รับวัคซีนครบทุก Dose

  • กลับเข้าร่วมเป็นสมาชิกใน WHO

หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ดำเนินการถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ไม่นาน ทันทีที่ประธานาธิบดี Biden ดำรงตำแหน่งวันแรก ก็ลงนามคำสั่งพิเศษประธานาธิบดีเพื่อให้สหรัฐฯ กลับเข้าร่วมเป็นสมาชิก WHO มีผลทันที 

Joe Bidenภาพจาก unsplash

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

  • การขึ้นอัตราภาษีเพื่อนำงบประมาณมาใช้ลงทุนในแผน Build Back Better

ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชื่อว่า Build Back Better ที่ต้องการจะฟื้นฟูสหรัฐให้ก้าวทันตามคู่แข่ง หนึ่งในนั้นก็เน้นเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ มูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ประธานาธิบดี  Joe Biden ต้องการจะขึ้นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีนิติบุคคลเพื่อนำมาเป็นงบประมาณพัฒนาในโครงการดังกล่าว

กระทั่งผ่านไป 100 วันแรก นโยบายการขึ้นภาษียังอยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งคาดว่า  Biden จะปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเดิม 37% เป็น 39% และภาษีนิติบุคคลจากเดิม 21% เป็น 28% อย่างไรก็ตามต้องได้รับการโหวตรับรองจากสภาคองเกรสสหรัฐก่อนนำบังคับใช้นโยบายนี้

แก้ไขวิกฤติด้านสภาพภูมิอากาศ

  • จัดงานประชุมสุดยอดผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Summit) 

เมื่อวันที่ 22-23 เมษายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดี Biden ได้เชิญ 40 ผู้นำโลกเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งระหว่างการประชุม สหรัฐได้ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 โดยตั้งใจว่าจะลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศภายใต้ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) 

  • ผลักดันให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำระดับโลกในด้านสภาพภูมิอากาศ

ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการและยังไม่เห็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรม แต่เบื้องต้นแผนการณ์ลดปริมาณก๊าซคาร์บอนภายในปี 2030 และการลงทุนวิจัยในด้านสิ่งแวดล้อมก็ได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะปรับปรุงสภาพอากาศให้ดีขึ้น

ความเท่าเทียมทางชาติพันธุ์

  • ขยายขอบเขตกฎหมายสิทธิการเลือกตั้ง (Voting Rights Act)

ในช่วงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2020 อดีตประธานาธิบดีทรัมป์และผู้นำพรรคริพับลิกันหลายรัฐ ได้กีดกันสิทธิการเลือกตั้งของพลเมือง ทำให้พรรคเดโมแครตต้องการจะปฏิรูปกฎหมายสิทธิการเลือกตั้งโดยต้องการปกป้องสิทธิการโหวตของประชาชนไม่ให้โดนริดรอน และปรับปรุงกฎหมายการใช้งบประมาณในการหาเสียง อย่างไรก็ตามก็มีเสียงคัดค้านจากวุฒิสภาพรรคริพับลิกัน มองว่าควรให้อิสระแต่ละรัฐในการจัดการกฎหมายเลือกตั้ง

  • เรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปตำรวจ

ประธานาธิบดีไบเดนพยายามที่จะให้สภาคองเกรสสหรัฐผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม นี้ ซึ่งจะตรงกับวันครบรอบ 1 ปีที่นายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำเสียชีวิตเพราะถูกตำรวจใช้เข่ากดคอขณะจับกุม เนื้อหาในกฏหมายจะเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบวิถีปฏิบัติตำรวจ และห้ามวิธีการลงโทษด้วยการใช้เข่ากดคอ

อย่างไรก็ตามทำเนียบขาวได้ประกาศไม่ได้ดำเนินการเกี่ยวกับร่างกฎหมายดังกล่าวต่อ ซึ่งร่างกฎหมายผ่านการรับรองจากสภาผู้แทนราษฎรก็จริง แต่วุฒิสภามีมติไม่รับรอง 

  • ผลักดันให้สภาคองเกรสผ่านพรบ. ความยุติธรรมที่ปลอดภัย  (SAFE Justice Act) 

พระราชบัญญัติความยุติธรรมที่ปลอดภัย เป็นกฎหมายที่อาศัยความร่วมมือทั้งพรรคเดโมแครต และอดีตตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ที่ต้องการเปลี่ยนขั้นตอนการพิจารณาคดี รวมไปถึงการลดการบังคับจำนวนปีจำคุกขั้นต่ำสำหรับการกระทำความผิดที่ไม่รุนแรง อีกทั้งตั้งนโยบายมุ่งลดการกระทำผิดซ้ำ แม้ว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวจะถูกปัดตกในปี 2017 แต่มีแนวโน้มว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ Joe Biden จะผลักดันกฎหมายดังกล่าวให้กับสภาภายในเดือนหน้า 

Joe Bidenภาพจาก unsplash

แก้ปัญหาประเด็นการย้ายถิ่นฐาน 

  • เสนอกฎหมายที่เปิดทางให้กลุ่มผู้อพยพที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมายให้ได้สัญชาติอเมริกัน

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 Joe Biden ได้เสนอกฎหมายการย้ายถิ่นฐานเข้าสหรัฐฉบับใหม่เพื่อปรับปรุงระบบตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐให้มีความทันสมัยขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามหนทางที่กฎหมายจะผ่านมติรับรองในสภาทั้งสองแห่งของสหรัฐฯ ยังไม่เห็นท่าทีที่สดใสนัก โดยเฉพาะในฝั่งของฝ่ายค้าน พรรคริพับลิกัน

  • ปรับปรุงโครงการ DACA (Deferred Action for Childhood Arrivals) ให้ถาวร

จุดประสงค์ของโครงการ DACA คือการผ่อนผันลูกของกลุ่มอพยพให้อยู่ประเทศได้ชั่วคราวและสามารถทำงานได้ เบื้องต้นประธานาธิบดีไบเดนได้ลงนามคำสั่งพิเศษประธานาธิบดีรับรองโครงการดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตามการบังคับใช้คำสั่งในโครงการต่างปฏิบัติแตกต่างกันในแต่ละรัฐ รวมถึงมีผู้พิพากษารัฐบาลกลางบางส่วนไม่ยอมรับความชอบธรรมในโครงการดังกล่าว 

  • ยกเลิกนโยบายจับแยกเด็กออกจากครอบครัวผู้อพยพจากเม็กซิโก

ในสมัยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้ใช้นโยบายควบคุมพรมแดนมาบังคับใช้อย่างเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้เด็กหลายพันคนต้องถุกจับแยกออกจากครอบครัวผู้อพยพจากเม็กซิโก 

แม้ว่าประธานาธิบดี Joe Biden ได้ลงนามคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดียกเลิกนโยบายดังกล่าวไปแล้วและพยายามทำให้ครอบครัวผู้อพยพกลับมารวมตัวอีกครั้ง แต่แล้วครอบครัวหลายกลุ่มยังคงแยกตัวกันเอง ทำให้จำนวนเด็กและเยาวชนที่เดินทางเข้าพรมแดนสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มสูงขึ้น

  • ยกเลิกคำสั่งแบนห้ามการเดินทางของผู้คนจากประเทศมุสลิม

    ประธานาธิบดี Joe Biden ตัดสินใจลงนามยุติคำสั่งพิเศษดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย และอนุญาตให้ชาวมุสลิมเดินทางเข้าประเทศได้อย่างเป็นอิสระ

  • ยุตินโยบาย Migrant Protection Protocols ของทรัมป์

ประธานาธิบดีไบเดนให้คำมั่นว่าจะยุตินโยบาย Migrant Protection Protocols (MPP) ที่ให้ผู้อพยพย้ายถิ่นในเม็กซิโกอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี กล่าวคือไม่ให้ผู้อพยพอยู่ในอันตรายอีกต่อไป อีกทั้งอนุมัติให้ผู้ลี้ภัยจากเม็กซิโกสามารถเข้าสู่สหรัฐฯ ได้

นอกจากนี้ไบเดนสัญญาอีกว่าจะยุติการใช้ข้อจำกัดจำนวนผู้อพยพที่สามารถขอลี้ภัยได้ แต่อย่างไรก็ตามฝ่ายบริหารยังไม่ได้ดำเนินตามมาตรการดังกล่าวอย่างชัดเจนเท่าไรนัก ซึ่งบางส่วนมองว่าหากปล่อยให้เข้ามาอย่างปราศจากเงื่อนไขอาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านโควิด-19 ได้ 

  • ยุติโครงการก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก

ประธานาธิบดีไบเดนได้ระบุประเด็นกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกไว้ตั้งแต่วันแรกของการดำรงตำแหน่ง และแผนงบประมาณของไบเดนมูลค่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ก็ไม่ได้กล่าวถึงการให้ทุนก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนแต่อย่างใด แต่ทว่าแผนการณ์ยุติโครงการยังไม่เห็นผลชัดเจนเท่าไรนัก เนื่องจากยังมีรายงานว่าการก่อสร้างกำแพงบางส่วนยังคงทำต่อไป

  • เพิ่มอำนาจรัฐบาลให้การกำกับดูแลกองตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร และหน่วยงานศุลกากรอย่างใกล้ชิด พร้อมตรวจสอบทันทีหากมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติผิดหลักสิทธิมนุษยธรรม

ในงบประมาณกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ของไบเดนได้รวมในส่วนของการเพิ่มเงินทุนเพื่อสอบสวนเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองหากเข้าข่ายลัทธิคนผิวขาวสูงส่ง หรือ White Supremacy เพื่อเลือกปฏิบัติกับชาติพันธุ์อื่น 

นอกจากนี้ในนโยบายได้ปรับคำที่ใช้กับคนเข้าเมืองบางส่วน เช่น illegal (ผิดกฎหมาย), alien (ต่างด้าว), assimilation (การผสมผสาน) ให้เป็น ผู้ที่ยังไม่ได้รับเอกสารเข้าเมือง (undocumented), ผู้ที่ยังไม่ได้รับสัญชาติ (noncitizen) และผู้ย้ายถิ่น (migrant) ตามลำดับ

Joe Biden กับการจัดการนโยบายด้านการต่างประเทศ

  • ให้คำมั่นว่าจะประสานรอยร้าวความสัมพันธ์ระหว่างต่างประเทศที่เสียหายไปในยุคทรัมป์

ภายใต้ยุคอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มุมมองของประเทศส่วนใหญ่ที่มีต่อสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรที่แข็งแกร่งได้เปลี่ยนไป เมื่อประธานาธิบดีไบเดนเข้ารับตำแหน่งก็ตั้งใจจะให้สหรัฐมีจุดยืนแบบพหุภาคีมากขึ้น ให้ความสำคัญกับการทูตและการต่างประเทศ ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผ่านคำประกาศ “อเมริกากลับมาแล้ว” (America is back) แต่ทว่าประเทศบางส่วนกลับไม่ให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ อีกต่อไป 

นอกจากนี้การถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นความตั้งใจของไบเดนที่ต้องการจะทำให้สำเร็จภายในวันที่ 11 กันยายน ปี 2021 ก็ยังไม่บรรลุผลเท่าไรนัก เนื่องจากยังมีความกังวลในส่วนของกลุ่มก่อการร้ายในอัฟกานิสถาน

  • การประชุมสุดยอดผู้นำระหว่างประเทศ 

 Joe Biden ต้องการจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดผู้นำระดับโลกในด้านประชาธิปไตยเพื่อฟื้นฟูสปิริตของผู้นำและหาจุดหมายร่วมกันในฐานะประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจุดมุ่งหมายของไบเดนก็คือต้องการต่อต้านการคอร์รัปชัน ระบอบเผด็จการ และการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ทว่าแนวคิดดังกล่าวกลับเจอแรงปะทะที่ตึงเครียดจากต่างชาติ เช่น จีนและรัสเซีย 

อ้างอิง: NPR


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Pink Tech ไทย กำลังมา! ศูนย์ AI มธ. ชี้ กรุงเทพฯ จ่อขึ้นแท่นศูนย์กลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

รายงานล่าสุด "Unlocking the Power of Pink Tech in Thailand" โดยศูนย์ AI มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ Canvas Ventures International (CVI) เผยให้เห็นศักยภาพอันมหาศาลของประเทศไทยในกา...

Responsive image

IMD จัดอันดับ Digital Competitiveness ปีนี้ ไทยร่วงจาก 35 เป็น 37 ถ้าอยากขยับขึ้น...ต้องแก้ไขตรงไหนก่อน?

ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ประจำปี 2567 โดย IMD World Competitiveness Center ไทยได้อันดับ 37 ขยับลงจากปีก่อน 2 อันดับ (35) แล้วจะทำอย่างไรให้ไทยได้อยู่ในอัน...

Responsive image

สู่ Siri ยุคใหม่ ! เผย Apple เตรียมเปิดตัว LLM Siri ในปี 2026 ท้าแข่ง ChatGPT โดยเฉพาะ

OpenAI ถือเป็นหนึ่งในบิ๊กเทคฯ ยักษ์ใหญ่ที่มีความก้าวกระโดดด้านการพัฒนา AI หลังจากสร้างกระแสด้วยแชทบอท ChatGPT ไปเมื่อปลายปี 2022 ซึ่งเมื่อปีที่แล้วก็เพิ่งมีดีลกับ Apple ในการนำ Cha...