
AI ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่มันจะกระทบกับทุกคน ทุกงานจริงไหม?
นี่คือบทสรุปจากงาน World Economic Forum 2025 ในหัวข้อ “Pivoting Workforce” ที่รวบรวมมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญแนวหน้า เพื่อไขข้อข้องใจว่า AI จะพลิกโฉมอนาคตการทำงานอย่างไร รวมถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำและจริยธรรมที่ต้องจับตา และเราในฐานะคนทำงานต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร
Carl-Benedikt Frey ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัย Oxford บอกว่าเทคโนโลยีทุกยุคมี 2 ด้านเสมอ ด้านแรก คือช่วยให้คนทำงานได้ดีขึ้น และอีกด้านคือมาแทนที่และทำให้คนตกงาน
เขาอธิบายว่า AI ไม่ได้มาแย่งงานทุกคน แต่มีแนวโน้มจะ “ยกระดับ” คนที่มีทักษะน้อยให้ทำงานได้ดีขึ้น เช่น คนที่เขียนไม่เก่ง อาจใช้ AI มาช่วยเขียนให้เก่งขึ้น ซึ่งหมายความว่า คนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานหรือยังมีทักษะไม่มากจะได้รับประโยชน์จาก AI มากกว่าคนที่มีทักษะอยู่แล้ว
แต่อีกด้านหนึ่งเขาเตือนว่า AI อาจทำให้ความเหลื่อมล้ำภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น เพราะคนที่เข้าถึง AI ได้ก่อนก็จะได้เปรียบกว่า และถ้ามองในระดับโลก AI อาจช่วยลดช่องว่างระหว่างประเทศได้เช่นกัน เพราะมันเปิดโอกาสให้คนในประเทศอื่นๆ ได้เข้าถึงงานที่เคยจำกัดอยู่ในเฉพาะเมืองใดเมืองหนึ่ง เช่น งานที่ต้องใช้ภาษาหรือทักษะเฉพาะทางต่างๆ ซึ่งตอนนี้สามารถทำได้มากขึ้น ด้วยความสามารถของ AI ที่ช่วยในการแปลภาษาและค้นหาข้อมูล
Ni Ying ซีอีโอ ของ The Adecco Group ในจีน เผยว่า สถานการณ์ตลาดงานในจีนตอนนี้ ปัญหาหลักไม่ได้มาจาก AI โดยตรง แต่เป็นเรื่องของ "เศรษฐกิจที่ชะลอตัว" บวกกับสงครามการค้ากับสหรัฐฯ และการที่บริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตออกไป ทำให้งานกว่า 16 ล้านตำแหน่ง ได้รับผลกระทบหนัก
ส่วนเรื่อง AI เธอบอกว่า การนำ AI มาใช้ในงาน HR ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นมากๆ และผู้บริหารส่วนใหญ่ก็ยังไม่พร้อมรับมือกับเรื่องนี้เท่าไหร่ และจากการสำรวจผู้นำ 2,000 คนจากบริษัททั่วโลกพบว่า:
Kian Katanforoosh ซีอีโอของ Workera มองว่าโครงสร้างขององค์กรในอนาคตจะเปลี่ยนไป เมื่อ AI เข้ามาช่วยมากขึ้น ซึ่งไม่แน่ต่อไป หัวหน้า 1 คน อาจดูแลทีมได้ใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม และแนะนำว่า คนที่กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงานควรมี 3 ทักษะนี้
Ayumi Moore Aoki ซีอีโอ Women in Tech เตือนว่า การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจลดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของมนุษย์ โดยอ้างอิงงานวิจัยจาก MIT ที่พบว่า คนที่ใช้ AI ช่วยเขียนจะจดจำเนื้อหาได้น้อยกว่าคนที่ไม่ใช้ แสดงให้เห็นว่าการใช้ AI อาจทำให้เราคิดน้อยลงโดยไม่รู้ตัว เธอย้ำว่า AI เป็นแค่เครื่องมือ สุดท้ายมนุษย์ต้องเป็นคนควบคุม ไม่ใช่ปล่อยให้มันคิดแทนเราทุกอย่าง
อีกข้อกังวลสำคัญคือ อคติใน AI ที่เกิดจากข้อมูลที่ฝึกมา หากไม่มีการตรวจสอบ อาจตัดสินคนอย่างไม่เป็นธรรมได้ และยังเสริมว่าพนักงานทั่วโลกกว่า 30–40% จะต้องพัฒนาทักษะใหม่ใน 3–5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่อาจไม่มีโอกาสเข้าถึงการเรียนรู้เท่าคนอื่น
แต่ Kian Katanforoosh เห็นต่างเรื่องอคติของ AI เขาเชื่อว่า AI ที่ถูกออกแบบมาดีและมีความรับผิดชอบ จะสามารถลดอคติได้ดีกว่ามนุษย์ เพราะไม่มีอารมณ์ ไม่มีอคติส่วนตัว และสามารถตรวจสอบได้
ทั้งสามคนเห็นเหมือนกันว่า “AI ต้องมีกรอบ” เพื่อไม่ให้หลุดไปในทางที่สร้างปัญหามากกว่าประโยชน์
Carl-Benedikt Frey เห็นว่ากฎหมายควรสนับสนุนการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่สกัดกั้นนวัตกรรม และต้องสนับสนุนการใช้ AI เพื่อเสริมทักษะมนุษย์ ไม่ใช่แทนที่
Kian Katanforoosh เสนอว่ากฎหมายอาจกลายเป็นแรงผลักดัน เช่น บังคับให้องค์กรต้องฝึกอบรมพนักงานด้านเทคโนโลยี เหมือนที่เคยมีกฎหมายให้เปลี่ยนจากรถน้ำมันเป็นรถไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยเร่งให้เกิดการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น
Ayumi Moore Aoki เห็นด้วยว่าต้องมีกฎหมายมาคุ้มครองข้อมูลส่วนตัว แต่ปัญหาคือแต่ละประเทศมีกฎหมายต่างกัน สิ่งสำคัญคือการสร้าง "ความไว้ใจ" ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และคนทั่วโลก
ในตอนท้าย ผู้ร่วมเสวนาทุกคนเห็นตรงกันว่า แม้ AI จะฉลาดขึ้นแค่ไหน แต่มันยัง “เลียนแบบไม่ได้” ในบางมิติของมนุษย์ เช่น:
บทสรุปจากเวทีนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ AI จะเข้ามาปฏิวัติโลกการทำงาน แต่ “ความเป็นมนุษย์” อย่างทักษะทางสังคม ความสามารถในการเรียนรู้และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีเลียนแบบไม่ได้ และจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด