ภายใต้สถานการณ์ที่ยังเต็มไปด้วยข้อจำกัดและความท้าทาย AIS ก็ยังคงมุ่งมั่นและเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการนำศักยภาพ 5G สู่ภาคอุตสาหกรรม ตอกย้ำความเป็น 1 ตัวจริง และผู้นำตลาดที่พร้อมขับเคลื่อนทุกภาคส่วนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ก็ตาม ล่าสุดได้ผนึกกำลังกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ ZTE ร่วมกันขยายศักยภาพ 5G ด้วยนวัตกรรมที่พัฒนาเพื่อพลิกโฉมโรงงานธรรมดาสู่การเป็น โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) จาก AIS 5G Total Solutions ไม่ว่าจะเป็น 5G Cloud AGV รถเคลื่อนย้ายอัตโนมัติ, Inspection หุ่นยนต์ลาดตระเวน, 5G AR Remote Guidance ควบคุมการทำงานจากระยะไกล, VR Monitoring ตรวจสอบภาพหน้างานแบบเรียลไทม์ และ Robotic Arm แขนกลอัจฉริยะ
คุณธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าองค์กร AIS Business กล่าวว่า “หลังจากที่ AIS ได้ประกาศเปิดตัวให้บริการ AIS 5G เป็นรายแรก ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ด้วยการถือครองคลื่นความถี่มากที่สุด ครบทั้งย่านความถี่ต่ำ กลาง และสูง ครอบคลุมการใช้งานทุกรูปแบบ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่เชื่อว่า เทคโนโลยีดิจิทัลจะเป็นหัวใจหลักในการช่วยทรานสฟอร์มและขับเคลื่อนภาคการผลิตทุก Sector เห็นได้ชัดเจนจากการที่เราได้ลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาทในปี 2563 และเตรียมงบลงทุนกว่า 25,000-30,000 ล้านบาทในปี 2564 เพื่อพัฒนาคุณภาพของ เครือข่าย AIS 5G จน ครอบคลุมพื้นที่ใช้งานใน EEC 100% ตลอดจนพื้นที่สำคัญด้านสาธารณสุขทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนสถานการณ์ COVID-19 ที่กำลังแพร่ระบาด
โดยครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือครั้งสำคัญกับภาคการศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ ZTE ที่ร่วมกันพัฒนาโซลูชั่นให้ตอบโจทย์การใช้งานภาคอุตสาหกรรมได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น ซึ่งการทำงานครั้งนี้เรามุ่งเน้นไปที่การสร้าง Smart Factory หรือ โรงงานอัจฉริยะ ให้มีความสามารถตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมได้ด้วย 5G Total Solutions for Industrial ที่ได้นำเอาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล AIS 5G บนคลื่นความถี่ย่าน 2600 GHz แบบ SA (Standalone) คลื่นความถี่ย่านกลางที่มีคุณสมบัติอย่างดีเยี่ยมในการทำ Use Case ซึ่งจะช่วยลดความหน่วง (Latency) และรองรับ IoT เต็มรูปแบบ เพื่อสร้างเป็นต้นแบบให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการยกระดับขีดความสามารถในการบริหารจัดการ พร้อมทรานส์ฟอร์มกระบวนการขั้นตอนการผลิต ท่ามกลางบริบทของภาคอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
“AIS ยังคงเดินหน้านำศักยภาพ 5G สู่การขับเคลื่อนประเทศอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ช่วงเวลาที่มีข้อจำกัดมากมาย สำหรับเรานั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไม่หยุดพัฒนาและมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอเรายังคงยึดมั่นในวิถีการทำงานที่ร่วมกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาและส่งมอบบริการหรือโซลูชั่นที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าจนทำให้เราได้ Use Case ของโรงงานอัจฉริยะขึ้นมาได้ ซึ่งแน่นอนว่าเรามีความพร้อมที่จะเชื่อมต่อนวัตกรรมเทคโนโลยีรวมถึงการยกระดับประเทศให้เข้าสู่การมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอัจฉริยะที่แข็งแกร่งเป็น 5G Total Soultions for Industrial เพื่อประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ และทุกๆ ภาคส่วนต่อไป” คุณธนพงษ์ กล่าว
ด้านรองศาสตราจารย์ ดร. พีระพงษ์ อุฑารสกุล ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี อธิบายว่า “ความร่วมมือระหว่าง AIS และ ZTE ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งวาระสำคัญที่จะพัฒนาการทำงานของภาคอุตสาหกรรมไปอย่างสิ้นเชิงด้วยเทคโนโลยี 5G ซึ่งการทำงานร่วมกันในครั้งนี้สอดคล้องกับพันธกิจของมหาวิทยาลัยในเรื่องการวิจัย ปรับแปลง ถ่ายทอดเทคโนโลยี สู่ภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งยังสามารถบูรณาการเทคโนโลยี 5G สู่ความเป็นเลิศทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในระดับสากล ทำให้มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งเรียนรู้ที่จะรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมท้องถิ่นและประเทศ ที่จะทำให้นักศึกษา ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม และคนทั่วไปได้ร่วมกันนำนวัตกรรมจากเทคโนโลยี 5G ไปขยายผลต่อไป”
ความน่าสนใจในการพัฒนาโซลูชั่นสำหรับโรงงานในครั้งนี้คือ การมุ่งที่จะตอบโจทย์พฤติกรรมและการทำงานของฝ่ายผลิตภายในโรงงานในทุกส่วนให้สามารถสอดประสานกันผ่าน 5G ได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งในส่วนของ “5G Cloud AGV รถเคลื่อนย้ายอัตโนมัติ” ครั้งแรกที่อุปกรณ์ถูกพัฒนาขึ้นให้มีความชาญฉลาดทำงานแบบ Machine to Machine สามารถสร้างแผนที่และเคลื่อนที่ด้วยตัวเอง ทำงานได้รวดเร็ว แม่นยำ และตรงเวลา นับป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานภายในโรงงาน คลังสินค้า หรือแม้แต่ฝ่ายผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ AIS และพันธมิตรยังได้พัฒนาโซลูชั่นอื่นๆ ที่จะช่วยเสริมการทำงานภายในโรงงานให้มีความอัจฉริยะมากขึ้นด้วย “5G Inspection หุ่นยนต์ลาดตระเวน” ที่จะทำหน้าที่เหมือน รปภ. สอดส่องดูแลพื้นที่ต่างๆ มีความสามารถในการจดจำใบหน้าและแจ้งเตือนเหตุน่าสงสัยภายในพื้นที่ได้ “5G Robotic Arm แขนกลอัจฉริยะ” ที่ถูกพัฒนาความสามารถให้ดีขึ้นเหมาะสมกับการใช้งานภายในโรงงานและฝ่ายผลิต โดยแขนกลอัจฉริยะตรวจสอบคัดแยกและเลือกหยิบสินค้าหรืออุปกรณ์ได้หลายขนาด จากเดิมที่เคยหยิบอุปกรณ์หรือสินค้าได้ชนิดเดียว “5G AR Remote Guidance ควบคุมการทำงานจากระยะไกล” เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ เครื่องมือนี้จะช่วยให้การควบคุมการทำงานของฝ่ายต่างๆ การอบรมเทรนนิ่ง การแก้ไขซ่อมแซมอุปกรณ์ต่างๆ สามารถทำได้โดยที่ทุกคนไม่ต้องมาอยู่ที่หน้างานทั้งหมด ด้วยเทคโนโลยีที่จะทำให้เหมือนกับเราทำงานอยู่ที่เดียวกัน และสุดท้าย “5G VR Monitoring ตรวจสอบภาพหน้างานแบบเรียลไทม์” เครื่องมือที่จะช่วยตรวจสอบคุณภาพสินค้าให้มีมาตรฐานเดียวกัน ตั้งแต่ Material ไปจนถึงตัวสินค้า (Finish Goods)
"สำหรับความร่วมมือกับภาคเอกชนทั้งสองครั้งนี้ ถือว่าเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดเพราะว่า Use Case ตรงนี้ถ้าเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นต้องบอกว่าที่นี่อาจจะเป็นที่แรก มหาวิทยาลัยหลายๆแห่งอาจจะมี UseCase ที่แตกต่างกันไปดังนั้นถ้าจะดู UseCase ประเภท smart factory อาจต้องมาดูกับเรา ซึ่งนักศึกษามหาวิทยาลัยเด็กๆเหล่านี้สามารถมาดูได้ เพื่อเป็นไอเดียและนำไปสู่การสร้างบริษัท อย่างสตาร์ทอัพ เป็นต้น รวมไปถึงการที่เรามีหลักสูตรอบรมคอร์สต่างๆจะทำให้การเรียนการสอนและการทำวิจัยมันใกล้ชิดกับเทคโนโลยี ที่งานวิจัยไม่ใช่อยู่แค่บนหิ้งเท่านั้น ซึ่งสามารถดึงลงมาและสามารถใช้ในห้องปฏิบัติการาได้อย่างแท้จริง ผมจึงเชื่อว่าอาจไม่ได้ประโยชน์แค่มหาวิทยาลัย แต่จะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไปด้วย " รองศาสตราจารย์ ดร. พีระพงษ์ กล่าว
ด้านคุณหลิง จื้อ รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด บริษัท แซดทีอี คอร์ปอเรชั่น กล่าวเสริมว่า “ZTE ในฐานะของผู้ให้บริการโซลูชั่นเทคโนโลยีระดับโลก ที่มีกลุ่มลูกค้าองค์กรภาคอุตสาหกรรมเป็นฐานสำคัญ โดยที่ผ่านมาเราได้ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี 5G ครอบคลุมอุตสากรรมหลักมากกว่า 15 อุตสาหกรรม ครั้งนี้จึงนับว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของความร่วมมือกับ AIS และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในการพัฒนาโซลูชั่น 5G end-to-end ที่ชาญฉลาด สำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทย ซึ่งเรามีความคาดหวังที่ตอบสนองภาคการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถ ยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตก้าวไปสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยี 5G”
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด