● AIS เดินหน้าภารกิจ “AIS 5G สู้ภัย โควิด-19” เต็มสูบ นำพลานุภาพ 5G ร่วมแก้วิกฤต ช่วยเหลือคนไทยทุกภาคส่วน เปิดเส้นทางทีม AIS ROBOTIC LAB แล็บพัฒนาหุ่นยนต์ 5G รายแรกรายเดียวในไทย ผู้อยู่เบื้องหลังผลงาน หุ่นยนต์ 5G ผู้ช่วยคุณหมอ ตัวแรกของประเทศ ที่เชื่อมต่อระบบปฏิบัติการบนเครือข่าย 5G ได้สำเร็จ อันเกิดจากขีดความสามารถของทีมงานหัวกะทิด้านดิจิทัล จาก AIS NEXT หน่วยงาน Innovation ที่ทุ่มเทออกแบบระบบ 5G Robot Platform ขึ้นเอง ผสมผสานระหว่าง เทคโนโลยี เครือข่าย การแพทย์ ออกมาเป็น หุ่นยนต์ทางการแพทย์ 5G ROBOT FOR CARE ที่สามารถ Customized ให้ตอบโจทย์การใช้งานของแต่ละโรงพยาบาลได้อีกด้วย
● ส่งมอบหุ่นยนต์ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, โรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์, สถาบันบำราศนราดูร และกรมแพทย์ทหารเรือ โดยหุ่นยนต์ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ ณ คลินิกและหอผู้ป่วยโควิด-19 ทำหน้าที่เข้าไปดูแลและตรวจอาการผู้ป่วยภายในห้องพักผู้ป่วย แทนหมอและพยาบาล ช่วยแบ่งเบาภาระ ลดเสี่ยง ลดสัมผัส เซฟแพทย์และพยาบาล โดยขณะนี้ ทีม AIS ROBOTIC LAB เร่งเครื่องพัฒนาหุ่นยนต์ 5G อย่างเต็มกำลัง และมีแผนส่งมอบทั้งหมด จำนวน 23 ตัว ให้กับโรงพยาบาล 22 แห่ง ภายในต้นเดือนพฤษภาคม 2563
● ชู “5G ที่จับต้องได้ เพื่อทุกชีวิต” ร่วมพลิกโฉม สร้าง New Normal ให้วงการแพทย์ ด้วยศักยภาพของ 5G มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะนำมาประยุกต์ใช้เป็นโครงข่ายดิจิทัลพื้นฐานสำคัญต่อการปฏิบัติงานทางการแพทย์ ถือเป็นการสร้างประสบการณ์การใช้งาน 5G ให้เห็นประโยชน์อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่สุด นั่นคือ การนำ 5G เข้ามาช่วยดูแลรักษาชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น และผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน
คุณวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าฝ่ายงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ เอไอเอส กล่าวว่า “ตามที่เอไอเอส ได้ประกาศวิสัยทัศน์ นำศักยภาพเครือข่าย 5G ที่ทรงพลานุภาพ และความรู้ความเชี่ยวชาญของคนเอไอเอส มาร่วมแรงร่วมใจ ช่วยแก้ปัญหาโควิด-19 เพื่อช่วยเหลือคนไทยและประเทศไทยของเราผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ วันนี้ เราได้ทุ่มสรรพกำลังเครือข่าย 5G ตลอดจนระดมนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญที่มากด้วยประสบการณ์การพัฒนาหุ่นยนต์ของเอไอเอส จัดตั้งทีมเฉพาะกิจ AIS ROBOTIC LAB by AIS NEXT โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์ ทำงานบนเครือข่าย 5G เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับทางการแพทย์ใช้งานจริง
อย่างที่ทราบกันดีว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ ต้องทำงานอย่างหนัก ในฐานะด่านหน้าที่ต้องรับมือและเผชิญกับความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโดยตรงแล้ว โรงพยาบาลยังประสบปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ป้องกัน อย่างเช่น หน้ากากอนามัย, ชุดป้องกันปลอดเชื้อ PPE อันเป็นอุปกรณ์จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์
โจทย์ของทีม AIS ROBOTIC LAB ในการพัฒนาหุ่นยนต์ จึงเริ่มต้นจาก Pain Point นี้ ทำอย่างไร เราจึงจะมีส่วนช่วยในการแบ่งเบาภาระ ลดความเสี่ยงติดเชื้อทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ และมีฟังก์ชันที่ FIT IN ช่วยให้การทำงานของทีมแพทย์สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยขึ้น รวมถึงประหยัดงบประมาณในการใช้อุปกรณ์ป้องกันปลอดเชื้อ
AIS ROBOTIC LAB จึงได้นำเทคโนโลยีขั้นสูงที่หลากหลาย เข้ามาผสมผสานกับเครือข่าย 5G ภายใต้ระบบประมวลผล AIS Robot Platform ซึ่งเอไอเอสพัฒนาขึ้นเอง ออกแบบเป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วยคุณหมอ 5G “ROBOT FOR CARE” ซึ่งมีฟีเจอร์อัจฉริยะ อาทิ
นอกจากนี้ ยังสามารถเสริมฟีเจอร์ต่างๆ ในตัวหุ่นยนต์ได้ตามที่แต่ละ รพ. ต้องการ อาทิ ตรวจวัดค่าออกซิเจนในเลือด, ส่งยาให้ผู้ป่วยถึงเตียง, บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือเคลื่อนที่ เป็นต้น
โดยหัวใจสำคัญของหุ่นยนต์ คือ การปฏิบัติงานบนเครือข่าย 5G เพื่อใช้ในการประมวลผลในหลายส่วน อาทิ ค่าอุณหภูมิและ face signature ของผู้ถูกตรวจจะถูกถ่ายและส่งผ่าน 5G ไปเก็บที่ AIS DATA CENTER, สามารถ video call จากศูนย์ควบคุมมาที่หุ่นยนต์เพื่อให้ความช่วยเหลือต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติการ, สามารถอัพเดทความสามารถใหม่ๆ ให้กับหุ่นยนต์จากศูนย์ควบคุมได้โดยอัตโนมัติ
ซึ่งเมื่อขับเคลื่อนการทำงานบนเครือข่าย AIS 5G ที่มีความเร็วสูง (High Speed) การตอบสนองต่อการสั่งงานที่รวดเร็ว มีความหน่วงต่ำ (Low Latency) พร้อมรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ที่หลากหลาย (IoT Connectivity) ทำให้หุ่นยนต์พร้อมปฏิบัติงานเข้าดูแลผู้ป่วยทันที การรับส่งข้อมูลระหว่างแพทย์กับหุ่นยนต์ก็เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาพยาบาลได้อย่างดี
ในอนาคต ทีม AIS ROBOTIC LAB เตรียมพัฒนาขยายขีดความสามารถของหุ่นยนต์ให้สามารถรองรับบริการทางการแพทย์ที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ สั่งหุ่นยนต์ให้ทำงานผ่านทางเสียง, การทำความสะอาดด้วยตัวเอง ผ่าน Ozone และ UV, ด้วยความสามารถจดจำเส้นทาง และจดจำใบหน้าได้ หุ่นยนต์จะสามารถทำภารกิจอื่นๆ ได้ เช่น การตรวจเยี่ยม, นำทางผู้ป่วยไปรักษาในแผนกต่างๆ อีกทั้ง โลกของ IoT และ 5G ที่จะมีการติดต่อกันเองของอุปกรณ์ต่างๆ ข้อมูลจากหุ่นยนต์ และเครื่องมือตรวจวัดที่โรงพยาบาลหรือ Wearable จะนำมาประมวลผลร่วมกัน เช่น เมื่อเกิดความผิดปกติใดๆ ที่ตรวจจับได้จากเครื่องมือวัด หุ่นยนต์ก็สามารถจะมาเยี่ยมถึงเตียงได้โดยทันที เป็นต้น
ซึ่งเอไอเอส มีประสบการณ์การทดลองทดสอบ 5G ในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งการแพทย์ จึงเชื่อมั่นว่า 5G มีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาประยุกต์ใช้เป็นโครงข่ายดิจิทัลพื้นฐานสำคัญต่อการปฏิบัติงานทางการแพทย์ และจะเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมแก้ปัญหาพาประเทศก้าวพ้นวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเรายินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสนำศักยภาพของเทคโนโลยี มาส่งมอบความช่วยเหลือให้กับประชาชนคนไทย และถือเป็นการสร้างประสบการณ์การใช้งาน 5G อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน เพื่อร่วมพลิกโฉมและสร้าง New Normal ให้เกิดขึ้นในวงการแพทย์ไทยในอนาคตอีกด้วย” นายวสิษฐ์กล่าว
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด