ในงาน WWDC 2023 ที่ผ่านมา Apple ได้ปลุกกระแสให้วงการเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะ Apple Vision Pro ชุดแว่น AR Headset ที่ถูกพูดถึงอย่างมาก
แต่สิ่งหนึ่งที่บริษัทไม่ได้แม้แต่กล่าวถึงเลยก็คือ ‘AI’ Buzzword ที่กำลังร้อนแรงที่สุดในอุตสาหกรรม ณ ขณะนี้
ในงานประจำปีหรือระหว่างการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ทั้ง Meta, Microsoft, Google, Amazon และบริษัททั้งที่อยู่ในสายงานเทคโนโลยีและไม่ได้อยู่ ต่างกล่าวถึง AI กันทั้งนั้น แต่ Apple กลับไม่ทำ
ทั้งนี้เมื่อเรามามองผลิตภัณฑ์และฟีเจอร์ใหม่ของ Apple ที่เปิดตัวล่าสุด จริงๆ ก็มี AI ทำงานอยู่เบื้องหลังหลายอย่าง
เช่น ใน iOS 17 การถอดเสียง Voicemail เป็นตัวอักษรแบบเรียลไทม์ ด้วยประสิทธิภาพของ Neural Engine หรือ Autocorrect ระบบการแก้ไขคำผิดอัตโนมัติ (Apple ระบุว่าฟีเจอร์นี้ได้รับการอัปเดตโดยใช้โมเดล Transformer ด้านภาษา)
หรือฟีเจอร์ Smart Stack ใน WatchOS 10 ที่ใช้ Machine learning เพื่อเรียนรู้และแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องเมื่อต้องการ และการสร้างอวาตาร์ 3 มิติ บน Apple Vision Pro เวลา Facetime โดยใช้เทคนิค Machine Learning ขั้นสูง
บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ อาจะจะใช้คำว่า ‘นวัตกรรม AI’ ‘พลังของ AI’ มาอธิบายเบื้องหลังการทำงานของฟีเจอร์เหล่านี้ แต่ไม่ใช่สำหรับ Apple เพราะโดยปกติ Apple ก็ไม่ได้เป็นบริษัทที่พูดถึง Buzzword ที่เป็นกระแสอยู่แล้ว และไม่ไหลไปตามกระแสนั้น แต่จะเป็นผู้สร้างมันเอง
เช่นเดียวกันกับการเปิดตัว Apple Vision Pro ที่ Tim Cook ไม่ได้พูดคำว่า Metaverse เลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่าคู่แข่งในตลาดแว่นอัจฉริยะหลายเจ้าจะใช้คำนี้เพื่ออธิบายการทำงานของมัน
เมื่อปีที่แล้ว Tim Cook ให้สัมภาษณ์กับสื่อจากเนเธอแลนด์ว่า “ผมคิดเสมอว่าการที่ผู้คนเข้าใจว่าบางสิ่งคืออะไรนั้นสำคัญ และผมไม่แน่ใจว่าคนทั่วไปจะอธิบายได้ว่า Metaverse คืออะไร”
ในอีกทางหนึ่ง Apple ต้องการอธิบายเทคโนโลยีต่างๆ ด้วยความระมัดระวังและถูกต้องที่สุดทางด้านเทคนิค เช่นฟีเจอร์ Personalized Volume และ Adaptive Audio ของ AirPods ที่ Apple อธิบายว่าใช้เทคโนโลยี Machine Learning ในการทำงาน (คำนี้ถูกพูดถึง 7 ครั้ง) ซึ่งเป็นคำที่ถูกต้องทางเทคนิค แทนที่จะใช้คำว่า AI ที่ดูคลุมเครือ
“เรารวมมัน (AI) อยู่ในผลิตภัณฑ์ของเรา แต่ผู้คนไม่จำเป็นต้องคิดว่ามันคือ AI ก็ได้” Tim Cook กล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์กับ Good Morning America สะท้อนให้เห็นว่า Apple ไม่จำเป็นต้องพ่น Buzzword ที่ฟังดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยออกมา แต่เน้นอธิบายผู้ใช้ถึงสิ่งที่เขาจะได้รับจากมันดีกว่า
ทั้งนี้ AI (Artificial Intelligence) คือ เป็นคอนเซปต์กว้างๆ ของการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการเลียนแบบการทำงานของกระบวนการด้านความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ เช่น การเรียนรู้ การแก้ปัญหา การวิเคราะห์ เป็นต้น
ส่วน ML (Machine Learning) หรือการเรียนรู้ของโปรแกรมด้วยตัวมันเอง ช่วยให้เครื่องจักรสามารถดึงความรู้จากข้อมูลและเรียนรู้จากข้อมูลนั้นด้วยตัวเอง หรือ การสอนอัลกอริทึมให้เรียนรู้ทำความเข้าใจและตัดสินใจได้ด้วยตัวเองจาก 'ข้อมูล' ที่ป้อนให้ ซึ่งเป็น Subset ของ AI
ต้องยอมรับว่าช่วงปีที่ผ่านมา Apple ยังตามหลังบริษัทเทคยักษ์ใหญ่อื่นๆ ในเรื่องการพัฒนา Generative AI สังเกตง่ายๆ จาก Siri ผู้ช่วยอัจฉริยะของระบบ iOS ที่ตอนนี้วิ่งตามหลังรุ่นน้องอย่าง ChatGPT หรือ Google Assistant ไปแล้ว
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่น่าผิดหวังของ Apple อาจจะเป็นการไม่พัฒนาอะไรที่เป็นรูปธรรมสำหรับ Siri ออกมาเลย (ล่าสุดแค่เปลี่ยนการเรียกใช้งาน Siri จาก Hey Siri เป็น Siri)
แต่ Apple ไม่ได้ทำธุรกิจ Search Engine และโฆษณาแบบ Google ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Generative AI เพื่อหาคำตอบ และไม่ได้เป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมแบบ Microsoft ที่จะต้องชูประสิทธิภาพของ AI ในการเป็นผู้ช่วยทำงาน Apple เป็นผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ และภารกิจสำคัญของ Apple ก็คือการทำให้อุปกรณ์ของตัวเองใช้งานได้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ และเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน
OpenAI อาจจะตื่นเต้นกับจำนวนผู้ใช้งาน ChatGPT ที่มากกว่า 100 ล้านคน เพียงสองเดือนหลังเปิดตัว แต่ Apple กำลังพัฒนาโทรศัพท์และอุปกรณ์ไอทีที่มีผู้ใช้มากกว่า 1 พันล้านคนในทุกๆ วัน และ Apple อาจจะนั่งไขว่ห้างสบายใจเพราะตอนนี้ ChatGPT มีแอปบน iOS แล้ว
ทำไม Apple ถึงสบายใจได้ ? เพราะแม้จะไม่มีเทคโนโลยี AI เอามาขายแบบของคนอื่น แต่ Apple ในฐานะผู้คุมตลาดแอปพลิเคชันอย่าง App Store ก็ได้ประโยชน์จาก AI โดยไม่ต้องออกแรงเอง ด้วยการการเก็บค่าคอมมิชชัน (เรียกกันเล่นๆว่า Apple Tax) จากการซื้อภายในแอป (In-app purchases) ในอัตรา 30%
สำหรับ ChatGPT ผู้ใช้งานที่ต้องการอัปเกรดบัญชีตัวเองเป็นแบบพรีเมียม จะต้องจ่ายเงินเพิ่ม 20 ดอลลาร์ต่อเดือน และ OpenAI ไม่ได้ redirect ผู้ใช้งานไปหาเว็บไซต์ของพวกเขา แต่เป็นการซื้อเพิ่มภายในแอปทำให้ Apple ผู้เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มสามารถเก็บภาษีจากส่วนนี้ได้ 30 %
App Store เป็นบ่อกำไรที่สร้างรายได้ให้กับ Apple มหาศาล โดยเฉพาะช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ธุรกิจด้านบริการของ Apple ซึ่งรวมถึงตลาดแอปเป็นหน่วยธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ให้กับบริษัท เนื่องจากยอดขาย iPhone ชะลอตัวลง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด