Techsauce รวบรวม ผลกำไรสุทธิครึ่งปีแรกของปี 2564 ของ 6 ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ของไทยเป็นอย่างไรบ้าง ท่ามกลางความท้าทายจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกําไรสุทธิครึ่งแรกของปี 2564 จํานวน 13,280 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10,765.49 ล้านบาท
โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 หลัก ๆ จากผลของการรวมธนาคารเพอร์มาตาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 และมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ อยู่ที่ร้อยละ 2.12 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในครึ่งแรกของปีก่อน รายได้ ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.8 จากค่าธรรมเนียมบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวม และ ค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์ รวมถึงการรวมรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารเพอร์มาตา สําหรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ จากการดําเนินงานอยู่ที่ร้อยละ 49.5 ทั้งนี้ ธนาคารมีการตั้งสํารองตามหลักความระมัดระวังโดยคาดการณ์ปัจจัยผลกระทบสําหรับ สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า
ธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไรจากการดําเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เท่ากับ 32,600 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักจากรายได้รวมจากการดําเนินงานที่ลดลงร้อยละ 9.3 เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง โดยในไตรมาสที่ 2/2563 มีรายได้ดอกเบี้ยพิเศษเงินให้สินเชื่อจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันจํานอง ประกอบกับ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา ถึงแม้ธนาคารมีการบริหารต้นทุนทางการเงินและสินเชื่อที่ขยายตัว ได้ดีเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (NIM) เท่ากับร้อยละ 2.53 ลดลงจาก ร้อยละ 3.15 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายจากการดําเนินงาน ลดลงร้อยละ 3.5 จากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานและ การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยมี Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 43.33 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 40.74 ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยได้ตั้งสํารองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จํานวน 16,154 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30.5 ส่งผลให้กําไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของธนาคาร) เท่ากับ 11,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10,222.02 ล้านบาท
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 กรุงศรีส่งมอบกําไรสุทธิที่แข็งแกร่งจํานวน 21,048 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น ร้อยละ 55.5 จากช่วงครึ่งแรกของปี 2563 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13,540.3 ล้านบาท มาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการดำเนินงานและการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น สุทธิด้วยการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธโดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย จากการบันทึกกําไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นในบริษัท เงินติดล้อ จํากัด (มหาชน) (เงินติดล้อ) ในไตรมาส 2/2564
หากไม่รวมการบันทึกกําไรพิเศษ กําไรสุทธิจากการดําเนินธุรกิจปกติในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ลดลงร้อยละ 5.0 หรือจํานวน 678 ล้านบาท จากช่วงครึ่งแรกของปี 2563 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ สุทธิด้วยการปรับตัวดีขึ้นของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ทั้งนี้ การลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิส่วนใหญ่เป็นผลจากการ ลดลงของอัตราผลตอบแทนของเงินให้สินเชื่อ สะท้อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยลดภาระทางการเงินให้กับ ลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยืดเยื้อ
ธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไรสุทธิจํานวน 19,521 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจํานวน 9,971 ล้านบาท หรือ 104.40 % โดยในงวดแรกปี 2564 ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสํารองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss: ECL) ลดลง 39.329% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยงวดแรกของปีก่อนธนาคารและบริษัทย่อยได้ตั้งสํารองฯ ใน ระดับที่สูงเป็นจํานวนถึง 32,064 ล้านบาท ภายใต้หลักความระมัดระวัง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนจากสถานการณ์การแพร่ ระบาดของโควิด-19 อันเป็นวิกฤติการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในลักษณะนี้มาก่อน
กําไรจากการดําเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้สําหรับงวดแรกปี 2564 มี จํานวน 47,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจํานวน 1,332 ล้านบาท หรือ 2.90% เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ เพิ่มขึ้นจํานวน 2,686 ล้านบาท หรือ 4.87% จากการปล่อยเงินให้สินเชื่อแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยในงวดนี้อัตราการเติบโตอยู่ที่ 6.17% มาจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่มีศักยภาพ
ธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทย่อยมีกําไรสุทธิ ในไตรมาส 2 ของปี 2564 จํานวน 8,815 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่กําไรจากการดําเนินงานก่อนหักสํารองมีจํานวน 21,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% จากช่วง เดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลของการขยายฐานรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยและการปรับตัวลดลงของค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานของธนาคาร
สําหรับครึ่งปีแรกของปี 2564 ธนาคารมีกําไรสุทธิจํานวน 18,902 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 17,611 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ของปี 2564 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจํานวน 23,475 ล้านบาท ลดลง 1.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ภายใต้สภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ําในปัจจุบันและการมุ่งเน้นการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจํานวน 12,994 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลของการขยายฐานรายได้ประเภทที่เกิดขึ้นเป็นประจํา (recurring) จากธุรกิจการขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านธนาคารและธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานมีจํานวน 15,376 ล้านบาท ลดลง 4.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวลดลง ของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
ในครึ่งปีแรกของปี 2564 ประเทศไทยเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและกระจายในวงกว้าง ซึ่งทําให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี) ยังคงระมัดระวังในการดําเนินธุรกิจ โดยให้ความสําคัญในการให้ความช่วยเหลือลูกค้าและพนักงานของธนาคารใน สถานการณ์ที่ยากลําบากนี้ ธนาคารดําเนินการปรับโครงสร้างงบดุลให้มีความเหมาะสมอย่างต่อเนื่อง ทําให้เงินให้สินเชื่อและเงินฝากของที่ที่มีโครงสร้างที่ เหมาะสมและเน้นพอร์ตที่มีคุณภาพ
ในไตรมาส 2/2564 ธนาคารตั้งสํารองฯ เป็นจํานวน 5,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.2 จาก ไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่สินเชื่อขั้นที่ 3 อยู่ที่จํานวน 43,543 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ร้อยละ 2.89 โดยการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อด้อยคุณภาพสอดคล้อง กับเป้าหมายของธนาคารและส่วนใหญ่เป็นผลจากการชะลอตัวของสินเชื่อและกลยุทธ์การบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพโดยคํานึงถึงมูลค่าสินทรัพย์ในระยะยาว
หลังหักสํารองฯ และภาษี ที่ที่ปีมีกําไรสุทธิ 2,534 ล้านบาทในไตรมาส 2/2564 ซึ่งลดลงร้อยละ 8.9 QoQ และร้อยละ 18.1 YoY
สําหรับครึ่งปีแรกของปี 2564 กําไรสุทธิอยู่ที่ 5,316 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 26.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 7,258 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น หรือ ROE ที่ร้อยละ 5.2
รวบรวมข้อมูลจาก SET
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด