บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ เดินหน้าโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) ในสหรัฐอเมริกาโครงการใหม่หลังจากที่ได้เริ่มโครงการ “Barnett Zero (บาร์เนตต์ ซีโร่)” และโครงการ “Cotton Cove (คอตตอน โคฟ)” ไปแล้ว โดยล่าสุด ได้บรรลุข้อตกลงกับรัฐลุยเซียนาในโครงการกักเก็บคาร์บอน “High West (ไฮเวสต์)” ซึ่งจะหนุนให้ธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบ้านปูในสหรัฐฯ สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ได้ในอนาคต
โครงการ Barnett Zero ซึ่งเป็นโครงการ CCUS แรกของบ้านปู ได้เริ่มดำเนินการและประกาศการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision หรือ FID)* ในปี 2565 ทำให้บ้านปูกลายเป็นบริษัทสัญชาติไทยรายแรกที่ประกาศ FID ในโครงการ CCUS ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2565 บ้านปูได้เริ่มการขุดเจาะ
หลุมกักเก็บก๊าซของโครงการ Barnett Zero โดยตั้งเป้าเริ่มกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในเดือนธันวาคมปีนี้ และคาดว่า Barnett Zero จะเป็นหนึ่งในโครงการ CCUS เชิงพาณิชย์ถาวรโครงการแรก ๆ ในสหรัฐฯ สำหรับขั้นตอนการทำงาน โครงการฯ นี้จะแยกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากกระบวนการผลิตก๊าซธรรมชาติจากระบบท่อขนส่งก๊าซที่ดำเนินงานโดยบริษัท EnLink
สำหรับโครงการ Cotton Cove ซึ่งเป็นโครงการ CCUS ลำดับที่สองของบ้านปู ได้ประกาศการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายเป็นการภายใน (internal FID)*** เมื่อเดือนตุลาคม 2565 โดยโครงการฯ นี้จะช่วยแยก กำจัด และกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นผลพลอยได้ (byproduct) จากการผลิตก๊าซธรรมชาติในแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ รวมไปถึงสินทรัพย์กลางน้ำของของบริษัทฯ โครงการ Cotton Cove มีเป้าหมายที่จะเริ่มดำเนินการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ภายในสิ้นปี 2567 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการได้รับใบอนุญาตที่จำเป็นทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย
โครงการ Barnett Zero มีมูลค่าการลงทุนทั้งหมดราว 29-34 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่มูลค่าการลงทุนในโครงการ Cotton Cove อยู่ที่ราว 14-24 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแต่ละโครงการมีอัตราการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 210,000 และ 80,000 เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปีตามลำดับ
สำหรับโครงการ High West ซึ่งเป็นโครงการ CCUS ลำดับที่สามของบ้านปู บริษัทฯ จะพัฒนาโครงสร้างและระบบต่าง ๆ เพื่อกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถาวรจากแหล่งอุตสาหกรรมในพื้นที่ใกล้เคียง โครงการทั้งสามแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ของกลุ่มบ้านปูในการริเริ่มโครงการเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกไซด์
ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG และจุดยืนในการส่งมอบ “อนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน” (Smarter Energy for Sustainability)
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากกลยุทธ์ Greener & Smarter ของบ้านปู โครงการ CCUS ถือเป็นก้าวย่างสำคัญของเราในภารกิจลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โครงการเหล่านี้นอกจากจะเป็นสิ่งใหม่ที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งในห่วงโซ่คุณค่าของบ้านปูในสหรัฐฯ แล้ว ยังช่วยให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการดำเนินธุรกิจเพื่อลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นโอกาสสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตในอนาคตอีกด้วย นอกจากนี้ เรามุ่งหวังว่าโครงการเหล่านี้จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายของเรา ทั้งในเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและการส่งเสริมความยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมพลังงาน”
นายฐิติ เมฆวิชัย ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบ้านปู เราตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) สำหรับ scope 1 และ 2 ราวปี ค.ศ. 2025 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) สำหรับการปล่อยมลสารจากธุรกิจต้นน้ำ scope 3 ภายในทศวรรษ 2030 โครงการ CCUS จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้บ้านปูบรรลุเป้าหมายนี้และสร้างทั้งมูลค่าเพิ่มและการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับธุรกิจในสหรัฐฯ”
“จากการที่เราวางแผนว่าจะบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากธุรกิจต้นน้ำให้ได้ 15-16 ล้านเมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปีภายในทศวรรษ 2030 เราจึงมองหาโอกาสในการทำโครงการ CCUS ใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีโครงการ CCUS หลายโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งคิดเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 30 ล้านเมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี” นายฐิติ กล่าวเสริม
ด้วยระบบนิเวศทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบ้านปูในสหรัฐฯ บริษัทฯ มีการดำเนินธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ปัจจุบัน บ้านปูมีธุรกิจแหล่งก๊าซธรรมชาติที่เปิดดำเนินการอยู่ 2 แหล่ง และเป็น 1 ใน 20 ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ในสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังได้เข้าซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 2 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้า Temple I และ Temple II และดำเนินธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้า (Retail Electricity) บริษัทฯ ยังคงแสวงหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์ Greener & Smarter โดยยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ด้วยความมุ่งหวังที่จะตอบสนองความต้องการด้านพลังงานแห่งอนาคตและส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้คน (Better Living for All)
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.banpu.com หรือที่ https://www.facebook.com/Banpuofficialth
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด