บ้านปู กวาดกำไร Q1/65 ทะลุกว่าหมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 568.63% จ่อขยายพอร์ตพลังงาน-ยกระดับ Antifragile | Techsauce

บ้านปู กวาดกำไร Q1/65 ทะลุกว่าหมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 568.63% จ่อขยายพอร์ตพลังงาน-ยกระดับ Antifragile

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ได้มีการรายงานผลดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 65 โดยมีกำไรสุทธิ 10,264.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 568.63% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,535.11 ล้านบาท โดยผลกำไรที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มาจากการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานทั่วโลก ทั้งราคาถ่านหินและราคาก๊าซธรรมชาติอันเนื่องมาจากความต้องการใช้พลังงานที่เติบโตขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจ

บ้านปู กวาดกำไร Q1/65 ทะลุกว่าหมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 568.63% จ่อแผนขยายพอร์ตพลังงาน-ยกระดับ Antifragile

ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากการขายรวมจำนวน 1,256 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบเท่า 41,509 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 71% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาจากธุรกิจถ่านหิน 828 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 80% เป็นผลจากราคาขายเฉลี่ยของถ่านหินที่เพิ่มขึ้น 66.63 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือคิดเป็น 104% ในขณะที่ปริมาณขายถ่านหินที่ลดลง จำนวน 0.88 ล้านตันและต้นทุนขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

โดยหลักเป็นผลจากการปรับตัวที่สูงขึ้นของราคาตลาดถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ จึงส่งผลดีในภาพรวมต่อกลุ่มบริษัท และในไตรมาสแรกได้รวมผลประกอบการของตลาดโรงไฟฟ้า แห่งใหม่ที่ได้ทำการลงทุนในระหว่างปี สหรัฐอเมริกา 2564 ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ Temple 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในออสเตรเลีย โรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม และโรงไฟฟ้า Nakoso ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงกลุ่มบริษัทมีการรับรู้กำไรจากจากการจำหน่ายเงินลงทุนในการร่วมค้า ซึ่งได้เสร็จสิ้นการขายในไตรมาสแรก

ส่วนธุรกิจก๊าซ มีรายได้จำนวน 279 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 50% โดยปริมาณการขาย จำนวน 59.67 พันล้านลูกบาศก์ฟุต ลดลงร้อยละ 3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เจากการลดลงของปริมาณการผลิตตามธรรมชาติของหลุมก๊าซ รวมถึงสภาพอากาศที่หนาวเย็นในเดือนกุมภาพันธ์ที่รัฐเท็กซัส ทำให้ท่อส่งก็าซแข็งและไม่สามารถส่งก็าซได้ตามปกติในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ขณะที่ราคาขายท้องถิ่นเฉลี่ยในปีเท่ากับ 4.60 เหรียญสหรัฐต่อพันลูกบาศก์ฟุต เพิ่มขึ้น 82% หรือ 2.16 เหรียญสหรัฐต่อพันลูกบาศก์ฟุตจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ต้นทุนการขนส่งและแยกก๊าซเฉลี่ย 0.99 เหรียญสหรัฐต่อพันลูกบาศก์ฟุต เพิ่มขึ้น 16%จากภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลผู้ให้บริการขนส่งและแยกก๊าซเรียกเก็บค่าบริการสูงขึ้น

และธุรกิจไฟฟ้าและไอน้ำ มีรายได้จำนวน 126 ล้านเหรียญสหรับ เพิ่มขึ้น 89% ปริมาณขายไฟฟ้า จำนวน 455.55 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้น 28.48 กิกะวัตต์ชั่วโมง และ ราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยจำนวน 0.41 หยวนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้น 16%

โดย 3 ธุรกิจหลักของบริษัทฯ สามารถสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 596 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย EBITDA จากธุรกิจถ่านหินจำนวน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติจำนวน 167 ล้านเหรียญสหรัฐ ( ธุรกิจไฟฟ้าจำนวน 37 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานจำนวน -7 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยในไตรมาสนี้บริษัทฯ ได้รับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุน 47.5% ในกลุ่มบริษัท Sunseap จำนวน 179 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับการเดินหน้าในการสร้างการเติบโตของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

1. กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ทางด้านธุรกิจเหมือง ยังคงรักษากำลังการผลิตและปริมาณสำรองที่ดีเพื่อรองรับแนวโน้มความต้องการในตลาดและคว้าโอกาสที่จะสามารถสร้างมูลค่าให้ธุรกิจ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ คว้าโอกาสจากสถานการณ์ราคาก๊าซที่เพิ่มสูงขึ้น และมองหาโอกาสต่อยอดการลงทุนจากแหล่งก๊าซต้นน้ำไปยังธุรกิจกลางน้ำ โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  

2. กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป มุ่งเน้นเสริมสร้างประสิทธิภาพและควบคุมต้นทุนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า ด้วยความยืดหยุ่นจากราคาต้นทุนพลังงานที่มีความผันผวนควบคู่กับการขยายพอร์ตโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (High Efficiency, Low Emissions: HELE) สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน มีการขยายการลงทุนในตลาดกลยุทธ์สำคัญที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง  

3. กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ยังคงเน้นการสร้างอัตราการเติบโตให้พอร์ตเทคโนโลยีพลังงานที่มีอยู่ รวมทั้งลงทุนและพัฒนาโซลูชั่นหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานรูปแบบใหม่ และเสริมสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลในการสร้างพลังร่วมระหว่างธุรกิจที่มีอยู่กับธุรกิจใหม่ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ เมืองอัจฉริยะ โซลาร์ลอยน้ำ และระบบการบริหารจัดการพลังงาน และยังเดินหน้าขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เช่น โครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์บนหลังคา ขนาด 5.9 เมกะวัตต์ ในอินโดนีเซีย และการเดินหน้าโครงการ Summer Lasalle เฟส3 ในกรุงเทพมหานคร ขนาด 982 กิโลวัตต์ 

ทั้งนี้นอกจากการมุ่งสร้างการเติบโตตามกลยุทธ์ Greener & Smarter บริษัทฯยังคงศึกษาโอกาสที่จะเติบโตในธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูงและสามารถสร้างการเติบโตในระยะยาว หรือ New S-Curve ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์เทรนด์แห่งอนาคตและสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว

อ้างอิง efinancethai

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

EU เริ่มกฎบังคับใช้พอร์ตชาร์จ USB-C ตั้งเป้าลดขยะอิเล็กทรอนิกส์

หลังจากที่สหภาพยุโรป หรือ EU ได้ออกมาเคลื่อนไหวด้านการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการเคลื่อนไหวด้านกฎบังคับให้ใช้พอร์ตชาร์จเดียวกันสำหรับทุกอุปกรณ์มาตั้งแต่ปี 2022 ล่าสุดกฎหมายดังกล่าว...

Responsive image

อนาคตที่ปรึกษาทางการเงิน จะเป็นอย่างไร ? เมื่อ AI คือผู้ช่วยคนสำคัญ

ที่ปรึกษาการเงินหลายท่านกำลังเผชิญกับภาวะ "งานเอกสารท่วมตัว" จนแทบไม่มีเวลาดูแลลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับงานที่ไม่สร้างรายได้ ทำให้การสร้างความสัมพันธ...

Responsive image

GAC บุกตลาดหุ่นยนต์ เปิดตัว GoMate หุ่นสี่ล้อสองขาสูงเท่าคน เตรียมใช้ในโรงงานผลิตรถยนต์

GAC Group แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ได้เปิดตัวหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์หรือ Humanoid ในชื่อ GoMate เพื่อตอบรับเทรนด์การใช้หุ่นยนต์แทนแรงงานในอนาคต...