หลังจากแนวโน้มปี 2019 ทางด้านผลประกอบการของช่อง 3 หรือ BEC World เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น จากการเข้ามาบริหารงานของ ‘อริยะ พนมยงค์’ ที่ได้มีการปรับกลยุทธ์ยกเครื่องใหม่ให้ Beyond TV โดยเป้าหมายหลังจากนี้ คือการปรับสัดส่วนรายได้จากเดิมที่มาจากธุรกิจทีวี (การขายโฆษณา) ให้ลดลง เหลือ 65% ในปี 2023 จากปัจจุบันอยู่ที่ 83% และหาแหล่งรายได้ใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง หลังภาวะอุตสาหกรรมสื่อหดตัวลง และทำให้ธุรกิจมีความยั่งยืนมากขึ้น
คุณอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) BEC World กล่าวว่า จากกระแสความท้าทายท่ามกลางยุค Disruption ทั้งในแง่ของการดำเนินธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งภายในระยะเวลาไม่กี่ปี โดยนับตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งประเทศไทยมี Internet user อยู่ที่ประมาณ 27.65 ล้าน user (ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการเกิดขึ้นของทีวีดิจิทัลทั้งหมด 24 ช่อง) จนกระทั่งในปี 2018 จำนวน Internet user ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมาเป็น 55 ล้าน user สำหรับการเติบโตดังกล่าวนั้น ผลกระทบที่ธุรกิจสื่อได้รับอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเลย คือ การมีผู้เล่นเข้ามามากขึ้น ส่งผลต่อเม็ดเงินที่กระจายในธุรกิจสื่อโดยตรง
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของผู้บริโภคสื่อออนไลน์สูงเป็นอันดับต้น ๆของโลก โดยถ้าให้มองจะมีอยู่ 3 แพลตฟอร์มหลัก ได้แก่ Youtube (ประเทศไทยเป็นอันดับ6 ของโลก) Facebook (ประเทศไทยเป็นอันดับ 8 ของโลก)และ Line (ประเทศไทยเป็นอันดับ 2 ของโลก)
ถ้ากลับไปดูปี 2019 เราจะเห็นว่าภาพรวมของสื่อยังทรง ๆ อยู่ โดยการเติบโต ลดลงกว่า 2% และหากให้แยกย่อยออกมา สื่อทีวีก็ยังลดลงประมาณ 7% สื่อหลักที่ยังเติบโตได้ดี คือ สื่อดิจิทัลโต 19% ส่วน TV Shopping ก็ยังเติบโตได้ดีอยู่ที่ 38% ขณะที่ของ BEC เอง ภาพรวมผลประกอบการจำนวน 9 เดือน มีผลขาดทุนรวมกว่า 138 ล้านบาท ถึงแม้จะยังคงขาดทุนแต่แนวโน้มธุรกิจปรับตัวดีขึ้น จากการที่ในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2562 มีผลขาดทุน แต่ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 ผลการดำเนินงานเริ่มกลับมาเป็นบวก ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของช่อง 3 อย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตามแม้ว่าด้านผลประกอบการยังไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควรนัก แต่สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ ในเชิงของคุณภาพ อย่างเช่น การปรับรูปแบบของรายการข่าว โดยข่าวเป็นสิ่งที่เปลี่ยนได้เร็ว เพราะว่าเป็นคอนเทนต์ที่สดใหม่ ปรับเปลี่ยนได้เร็วกว่า ส่วนละครเป็นสิ่งที่มีการใช้เวลาในการผลิต โดยกลยุทธ์ของข่าวที่ทางช่อง 3 ได้มีการขับเคลื่อนให้เป็นไป คือ “เราต้องการเป็นข่าวที่พึ่งพาได้ และเป็นข่าวจริง” โดยเฉพาะการเป็นข่าวจริง ช่วงเวลานี้ที่มีการระบาดของไวรัสโคโรน่า ข่าวจริงถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ เพราะพฤติกรรมการเสพย์ข่าวสารของผู้บริโภคในทุกวันนี้ มักจะเน้นการส่งต่อ หรือแชร์ โดยที่บางครั้งไม่ได้อ่าน หรือตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้และเราพยายามที่จะแก้ไขมัน เพราะสื่อทีวี ถือเป็นช่องทางที่สำคัญที่จะเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชน และสามารถพูดได้ว่าข่าวอันไหนจริงหรือไม่จริง และช่อง 3 กำลังจะมีรายการจับข่าวลวง ที่เป็นการรวมข้อมูลเลยว่า ข่าวไหนที่ประชาชนเชื่อถือได้บ้าง
นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ผ่านมาที่เราประสบความสำเร็จอีกหนึ่งอย่าง คือ การบุกตลาดต่างประเทศ เป็นสิ่งหนึ่งที่เราทำค่อนข้างได้ดีในปีที่แล้ว จากเดิมที่เราไปตลาดต่างประเทศ ผู้บริโภคมักจะไม่ค่อยรู้จักช่อง 3 หรือ BEC World แต่พอเขารู้ว่าคอนเทนต์ที่คนในประเทศเขาดูเป็นของเรา ก็เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น หลังจากที่เราบุกไปหลายประเทศมาก ไม่ว่าจะเป็น จีน อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน มาเลเซีย คนรู้จักเรามากขึ้น
นอกจากนี้เรายังมีการจับมือกับพันธมิตร เช่น Tencent ในการที่จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการนำคอนเทนต์ของเราไปเผยแพร่ให้คนรู้จักมากขึ้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ตอนนี้บทบาทเราเริ่มเปลี่ยน มีคนมาหาเรามากขึ้น ซึ่งตอบโจทย์ให้กับเราที่ตั้งเป้าหมายไว้นอกจากเรื่องของรายได้ ก็คือการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศด้วย...
ในปีนี้สำหรับปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เราหนีไม่พ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ข้อพิพาททางการค้า การเติบโตของ GDP ในประเทศไทยที่มีการคาดการณ์ว่าจะต่ำกว่า 3% และเม็ดเงินโฆษณา (Advertising expenditure) ที่มีแนวโน้มลดลง ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ คือ การปรับเปลี่ยนภายในเพื่อให้อยู่รอดท่ามกลางภาวะเช่นนี้ โดยสิ่งที่เราเริ่มต้นก็คือ การสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ คือ ผู้นำทางด้านคอนเทนต์และธุรกิจบันเทิงของประเทศไทย เพราะเราไม่ได้มองว่า BEC World เป็นธุรกิจทีวี แต่เรามองว่าเราคือ ธุรกิจคอนเทนต์ ...
นอกจากนี้เรามี mission คือ ปรับเปลี่ยน BEC ให้เป็นองค์กรที่มีความคล่องตัว และมีความคิดไปข้างหน้า โดยยกระดับความคิดสร้างสรรค์ของช่องสาม ด้วยการส่งมอบความสดใหม่ ด้วยคอนเทนต์ที่เชื่อมโยง กับผู้ชมในปัจจุบัน และใช้เทคโนโลยี กับการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพผ่านทุกช่องทางหน้าจอ ทั่วไทยและต่างประเทศ
แม้ว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีจะทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งหนึ่งที่เทคโนโลยีเปลี่ยนไม่ได้ คือ เวลาของผู้บริโภคที่มี 24 ชั่วโมงเท่าเดิม ดังนั้นการแข่งขันของเราคือ จะทำอย่างไรที่จะชิงเวลาของผู้บริโภคมาอยู่กับเราได้มากที่สุด ซึ่งคอนเทนต์คือ สิ่งที่ชิงเวลาได้ดีที่สุดของผู้บริโภค
New Media : สำหรับกลยุทธ์ที่ BEC World พยายามสร้าง คือ กลยุทธ์ที่เรียกว่า D2C - end to end customer experience จากสิ่งที่เราเห็น ปัญหาหนึ่งของแบรนด์ขณะที่ยังอยู่ในโลกออฟไลน์ คือ ไม่ได้รู้จักลูกค้าตัวเอง โดยส่วนใหญ่ข้อมูลของลูกค้าที่มีมักจะอยู่กับส่วนของค้าปลีกหรือคนที่เจอกับลูกค้าจริง ๆ ดังนั้นแม้ว่าช่องทางของการลงโฆษณาจะเปลี่ยนแปลงจากออฟไลน์มาเป็นออนไลน์ สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนตัวกลาง แต่ในทางข้อมูลยังไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าของตัวเองได้อย่างแท้จริง...
ยกตัวอย่างสิ่งที่เราได้ลองทำร่วมกับลูกค้า คือ เราได้ลองเปิดตัวแคมเปญแรกกับ 7-11 โดยระหว่างเบรกโฆษณา เราได้ลองให้มี QR code ขึ้นมา และให้ลูกค้าสแกน เพื่อรับส่วนลดไปใช้กับทาง 7-11 ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ว่า เราไม่ได้โฟกัสแค่จอโทรทัศน์ และโฆษณา แต่เราสามารถขับเคลื่อน traffic ลูกค้าให้ไปที่ 7-11 ได้ด้วย
GO INTER : การขายคอนเทนต์ไปในตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเราตั้งเป้าการเติบโตในส่วนขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปีนี้
3 Plus : เป็นการปรับกลยุทธ์ทางด้านดิจิทัล โดยเราเตรียมที่จะเปิดตัว สามพลัส (เป็นการเปลี่ยนจาก Mellow) ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งที่ผ่านมายอดวิวในส่วนดิจิทัลของเราเติบโตขึ้น 35% และภายในปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ในส่วนนี้ให้เติบโต 2 เท่า
New Content : เรามีแผนที่จะปรับส่วนของผังรายการให้แตกต่างจากเดิม โดยเดิมช่วงเวลาที่เป็นไพรม์ไทม์ หรือเวลาไข่แดงของช่องสาม คือ ละครช่วง 20.20 น. เป็นหลัก แต่ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และมีการลงลึกราย Segment มากขึ้นทำให้เราต้องมาย้อนพิจารณาการเผยแพร่คอนเทนต์ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยผังใหม่เราจะเน้นให้ความสำคัญช่วง 18.00 น. ถึง 22.30 น. แบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่
Artist : ช่อง 3 มีศิลปินเป็นหนึ่งในจุดเเข็ง และจุดเด่นของเรา ดังนั้นเรามีแผนที่จะผลักดันโดยการเพิ่มพื้นที่หน้าจอให้กับศิลปินในสังกัดของเรามากขึ้น ที่ไม่ใช่แค่การแสดงละคร แต่มีรายการอื่น ๆ ให้พวกเขาได้โชว์ความสามารถ รวมถึงเราจะนำศิลปินของเราไปเปิดตัวในตลาดจีนเพิ่มมากขึ้นด้วย
Data : ถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคของเรา ยกตัวอย่างให้เห็นภาพของกลยุทธ์ D2C ที่ต้องอาศัย data ในการขับเคลื่อน โดยไม่ว่าจากจอทีวี แท็บเลต สมาร์ทโฟน ยอดคนดูจะเข้ามาทางช่องทางใดก็ได้ แต่สิ่งที่เราส่งต่อ คือ ลักษณะของแคมเปญที่จะทำร่วมกับลูกค้า และในอนาคตก็อยู่ที่โจทย์ของลูกค้าว่าช่องทางใดเหมาะสมที่สุด โดยเราได้มีการเตรียมระบบหลังบ้านที่พร้อมต่อการตอบสนองความต้องการลูกค้าแบรนด์ของเราได้ด้วย ไม่ว่าเป็น บริการแวร์เฮาส์เก็บสินค้า หรือ โลจิสติกส์ที่จะส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ Commerce ที่เราพยายามสร้างขึ้นมา คล้ายกับการเป็นทีวี ช็อปปิ้ง แต่จะมีความแตกต่าง และให้บริการลูกค้าได้มากกว่า
เราต้องการปรับสื่อแบบดั้งเดิมให้เป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่ให้ลูกค้ามาลงโฆษณา ซื้อแอร์ไทม์ แต่เราจะช่วย Drive ยอดขาย และ Trafficให้กับแบรนด์ผ่านทางช่องทีวี และออนไลน์
จากแผนการดำเนินงานของ BEC World ทั้งหมดที่พยายามทำเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ในภาวะที่อุตสาหกรรมสื่อมีการหดตัว โดยการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ให้กับธุรกิจรวมถึงสามารถสร้างการเติบโตอย่งยั่งยืนให้กับ BEC ซึ่งเราได้ตั้งเป้าในการปรับสัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจทีวี ซึ่งจะมาจากการขายช่วงเวลาโฆษณาภายในปี 2566 ให้เหลือ 65% จากปัจจุบันอยู่ที่ 83% และเพิ่มสัดส่วนรายได้ในส่วนอื่น ๆ จากกลยุทธ์ใหม่ที่เราได้วางไว้ เป็น 35% จากปัจจุบันที่ 17% ขณะที่การตั้งเป้าหมายในการเติบโตในแง่ของรายได้รวม คาดว่าจะโตเฉลี่ยปีละ 10% นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป...
การแข่งขันทุกวันนี้ดุเดือดมากขึ้น ดังนั้นคนที่เลือกอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ต้องอยู่ให้รอด นี่คือภาพที่เราประเมิน และเป็นภาพที่เกิดขึ้นจริง จากการปรับกลยุทธ์ทั้งหมด ผมมีความคาดหวังสูงกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยจะเริ่มเห็นผลดีขึ้นเรื่อยๆ แต่การสร้างอะไรใหม่ขึ้นมานั้นก็ต้องใช้เวลา
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด