เปิดกลยุทธ์สู้ศึกปี 2020 จะเป็นอย่างไร ? เมื่อช่อง 3 ตั้งเป้าลดบทบาทธุรกิจทีวี หลังภาวะอุตสาหกรรมสื่อหดตัว | Techsauce

เปิดกลยุทธ์สู้ศึกปี 2020 จะเป็นอย่างไร ? เมื่อช่อง 3 ตั้งเป้าลดบทบาทธุรกิจทีวี หลังภาวะอุตสาหกรรมสื่อหดตัว

หลังจากแนวโน้มปี 2019 ทางด้านผลประกอบการของช่อง 3 หรือ BEC World เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น จากการเข้ามาบริหารงานของ ‘อริยะ พนมยงค์’ ที่ได้มีการปรับกลยุทธ์ยกเครื่องใหม่ให้ Beyond TV โดยเป้าหมายหลังจากนี้ คือการปรับสัดส่วนรายได้จากเดิมที่มาจากธุรกิจทีวี (การขายโฆษณา) ให้ลดลง เหลือ 65% ในปี 2023 จากปัจจุบันอยู่ที่ 83% และหาแหล่งรายได้ใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง หลังภาวะอุตสาหกรรมสื่อหดตัวลง และทำให้ธุรกิจมีความยั่งยืนมากขึ้น

คุณอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) BEC World  กล่าวว่า จากกระแสความท้าทายท่ามกลางยุค Disruption  ทั้งในแง่ของการดำเนินธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งภายในระยะเวลาไม่กี่ปี โดยนับตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งประเทศไทยมี Internet user อยู่ที่ประมาณ  27.65 ล้าน user (ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการเกิดขึ้นของทีวีดิจิทัลทั้งหมด 24 ช่อง) จนกระทั่งในปี 2018 จำนวน Internet user ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมาเป็น 55 ล้าน user  สำหรับการเติบโตดังกล่าวนั้น ผลกระทบที่ธุรกิจสื่อได้รับอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเลย คือ การมีผู้เล่นเข้ามามากขึ้น ส่งผลต่อเม็ดเงินที่กระจายในธุรกิจสื่อโดยตรง 

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของผู้บริโภคสื่อออนไลน์สูงเป็นอันดับต้น ๆของโลก โดยถ้าให้มองจะมีอยู่ 3 แพลตฟอร์มหลัก ได้แก่ Youtube (ประเทศไทยเป็นอันดับ6 ของโลก) Facebook (ประเทศไทยเป็นอันดับ 8 ของโลก)และ Line (ประเทศไทยเป็นอันดับ 2 ของโลก) 

ความเปลี่ยนแปลงในปี 2019 

ถ้ากลับไปดูปี 2019 เราจะเห็นว่าภาพรวมของสื่อยังทรง ๆ อยู่ โดยการเติบโต ลดลงกว่า 2% และหากให้แยกย่อยออกมา สื่อทีวีก็ยังลดลงประมาณ 7%  สื่อหลักที่ยังเติบโตได้ดี คือ สื่อดิจิทัลโต 19% ส่วน TV Shopping ก็ยังเติบโตได้ดีอยู่ที่ 38%  ขณะที่ของ BEC เอง ภาพรวมผลประกอบการจำนวน 9 เดือน มีผลขาดทุนรวมกว่า 138 ล้านบาท ถึงแม้จะยังคงขาดทุนแต่แนวโน้มธุรกิจปรับตัวดีขึ้น จากการที่ในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2562 มีผลขาดทุน แต่ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 ผลการดำเนินงานเริ่มกลับมาเป็นบวก ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของช่อง 3 อย่างเห็นได้ชัด 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าด้านผลประกอบการยังไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควรนัก แต่สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ ในเชิงของคุณภาพ อย่างเช่น การปรับรูปแบบของรายการข่าว โดยข่าวเป็นสิ่งที่เปลี่ยนได้เร็ว เพราะว่าเป็นคอนเทนต์ที่สดใหม่ ปรับเปลี่ยนได้เร็วกว่า ส่วนละครเป็นสิ่งที่มีการใช้เวลาในการผลิต โดยกลยุทธ์ของข่าวที่ทางช่อง 3 ได้มีการขับเคลื่อนให้เป็นไป คือ “เราต้องการเป็นข่าวที่พึ่งพาได้ และเป็นข่าวจริง” โดยเฉพาะการเป็นข่าวจริง ช่วงเวลานี้ที่มีการระบาดของไวรัสโคโรน่า ข่าวจริงถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ เพราะพฤติกรรมการเสพย์ข่าวสารของผู้บริโภคในทุกวันนี้ มักจะเน้นการส่งต่อ หรือแชร์ โดยที่บางครั้งไม่ได้อ่าน หรือตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้และเราพยายามที่จะแก้ไขมัน เพราะสื่อทีวี ถือเป็นช่องทางที่สำคัญที่จะเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชน และสามารถพูดได้ว่าข่าวอันไหนจริงหรือไม่จริง  และช่อง 3 กำลังจะมีรายการจับข่าวลวง ที่เป็นการรวมข้อมูลเลยว่า ข่าวไหนที่ประชาชนเชื่อถือได้บ้าง 

นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ผ่านมาที่เราประสบความสำเร็จอีกหนึ่งอย่าง คือ การบุกตลาดต่างประเทศ เป็นสิ่งหนึ่งที่เราทำค่อนข้างได้ดีในปีที่แล้ว จากเดิมที่เราไปตลาดต่างประเทศ ผู้บริโภคมักจะไม่ค่อยรู้จักช่อง 3 หรือ BEC World แต่พอเขารู้ว่าคอนเทนต์ที่คนในประเทศเขาดูเป็นของเรา  ก็เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น หลังจากที่เราบุกไปหลายประเทศมาก ไม่ว่าจะเป็น จีน อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน มาเลเซีย คนรู้จักเรามากขึ้น  

นอกจากนี้เรายังมีการจับมือกับพันธมิตร เช่น  Tencent ในการที่จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการนำคอนเทนต์ของเราไปเผยแพร่ให้คนรู้จักมากขึ้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ตอนนี้บทบาทเราเริ่มเปลี่ยน มีคนมาหาเรามากขึ้น ซึ่งตอบโจทย์ให้กับเราที่ตั้งเป้าหมายไว้นอกจากเรื่องของรายได้ ก็คือการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศด้วย...

กลยุทธ์ของปี 2020

ในปีนี้สำหรับปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เราหนีไม่พ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ข้อพิพาททางการค้า การเติบโตของ GDP ในประเทศไทยที่มีการคาดการณ์ว่าจะต่ำกว่า 3% และเม็ดเงินโฆษณา (Advertising expenditure) ที่มีแนวโน้มลดลง ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ คือ การปรับเปลี่ยนภายในเพื่อให้อยู่รอดท่ามกลางภาวะเช่นนี้ โดยสิ่งที่เราเริ่มต้นก็คือ การสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ คือ  ผู้นำทางด้านคอนเทนต์และธุรกิจบันเทิงของประเทศไทย  เพราะเราไม่ได้มองว่า   BEC World เป็นธุรกิจทีวี แต่เรามองว่าเราคือ ธุรกิจคอนเทนต์ ...

นอกจากนี้เรามี mission  คือ ปรับเปลี่ยน BEC ให้เป็นองค์กรที่มีความคล่องตัว และมีความคิดไปข้างหน้า  โดยยกระดับความคิดสร้างสรรค์ของช่องสาม ด้วยการส่งมอบความสดใหม่ ด้วยคอนเทนต์ที่เชื่อมโยง กับผู้ชมในปัจจุบัน และใช้เทคโนโลยี กับการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพผ่านทุกช่องทางหน้าจอ ทั่วไทยและต่างประเทศ 

แม้ว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีจะทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งหนึ่งที่เทคโนโลยีเปลี่ยนไม่ได้ คือ เวลาของผู้บริโภคที่มี 24 ชั่วโมงเท่าเดิม ดังนั้นการแข่งขันของเราคือ จะทำอย่างไรที่จะชิงเวลาของผู้บริโภคมาอยู่กับเราได้มากที่สุด ซึ่งคอนเทนต์คือ สิ่งที่ชิงเวลาได้ดีที่สุดของผู้บริโภค

NEXT MOVE 2020

New Media : สำหรับกลยุทธ์ที่ BEC World พยายามสร้าง คือ กลยุทธ์ที่เรียกว่า D2C - end to end customer experience จากสิ่งที่เราเห็น ปัญหาหนึ่งของแบรนด์ขณะที่ยังอยู่ในโลกออฟไลน์  คือ ไม่ได้รู้จักลูกค้าตัวเอง โดยส่วนใหญ่ข้อมูลของลูกค้าที่มีมักจะอยู่กับส่วนของค้าปลีกหรือคนที่เจอกับลูกค้าจริง ๆ ดังนั้นแม้ว่าช่องทางของการลงโฆษณาจะเปลี่ยนแปลงจากออฟไลน์มาเป็นออนไลน์ สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนตัวกลาง แต่ในทางข้อมูลยังไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าของตัวเองได้อย่างแท้จริง...

ยกตัวอย่างสิ่งที่เราได้ลองทำร่วมกับลูกค้า คือ เราได้ลองเปิดตัวแคมเปญแรกกับ 7-11 โดยระหว่างเบรกโฆษณา เราได้ลองให้มี QR code ขึ้นมา และให้ลูกค้าสแกน เพื่อรับส่วนลดไปใช้กับทาง 7-11  ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ว่า เราไม่ได้โฟกัสแค่จอโทรทัศน์ และโฆษณา แต่เราสามารถขับเคลื่อน traffic ลูกค้าให้ไปที่ 7-11 ได้ด้วย 

GO INTER : การขายคอนเทนต์ไปในตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเราตั้งเป้าการเติบโตในส่วนขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปีนี้ 

3 Plus : เป็นการปรับกลยุทธ์ทางด้านดิจิทัล โดยเราเตรียมที่จะเปิดตัว สามพลัส  (เป็นการเปลี่ยนจาก Mellow) ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งที่ผ่านมายอดวิวในส่วนดิจิทัลของเราเติบโตขึ้น 35% และภายในปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ในส่วนนี้ให้เติบโต 2 เท่า

New Content : เรามีแผนที่จะปรับส่วนของผังรายการให้แตกต่างจากเดิม โดยเดิมช่วงเวลาที่เป็นไพรม์ไทม์ หรือเวลาไข่แดงของช่องสาม คือ ละครช่วง 20.20 น. เป็นหลัก แต่ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และมีการลงลึกราย Segment มากขึ้นทำให้เราต้องมาย้อนพิจารณาการเผยแพร่คอนเทนต์ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยผังใหม่เราจะเน้นให้ความสำคัญช่วง 18.00 น. ถึง 22.30 น. แบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่ 

  • 18.00 - 19.00 ผู้บริโภคช่วงนี้จะเป็นคนทำงาน ที่กำลังกลับบ้าน ซึ่งเราก็จะมีคอนเทนต์ใหม่ตอบโจทย์คนกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น
  • 19.00-20.20  ผู้บริโภคช่วงนี้จะเป็นกลุ่มครอบครัว ดังนั้นสิ่งที่เน้น คือ ละครที่อาจจะต้องมีการทุ่มเทผลิตเพื่อผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น 
  • 20.20-22.30 ผู้บริโภคกลุ่มคนเมืองที่ดูจอ ซึ่งกลยุทธ์ใหม่เราจะปรับการนำเสนอให้มีความกระชับมากขึ้น

Artist : ช่อง 3 มีศิลปินเป็นหนึ่งในจุดเเข็ง และจุดเด่นของเรา ดังนั้นเรามีแผนที่จะผลักดันโดยการเพิ่มพื้นที่หน้าจอให้กับศิลปินในสังกัดของเรามากขึ้น ที่ไม่ใช่แค่การแสดงละคร แต่มีรายการอื่น ๆ ให้พวกเขาได้โชว์ความสามารถ รวมถึงเราจะนำศิลปินของเราไปเปิดตัวในตลาดจีนเพิ่มมากขึ้นด้วย 

Data : ถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคของเรา ยกตัวอย่างให้เห็นภาพของกลยุทธ์ D2C ที่ต้องอาศัย data ในการขับเคลื่อน โดยไม่ว่าจากจอทีวี แท็บเลต สมาร์ทโฟน ยอดคนดูจะเข้ามาทางช่องทางใดก็ได้ แต่สิ่งที่เราส่งต่อ คือ ลักษณะของแคมเปญที่จะทำร่วมกับลูกค้า และในอนาคตก็อยู่ที่โจทย์ของลูกค้าว่าช่องทางใดเหมาะสมที่สุด โดยเราได้มีการเตรียมระบบหลังบ้านที่พร้อมต่อการตอบสนองความต้องการลูกค้าแบรนด์ของเราได้ด้วย ไม่ว่าเป็น บริการแวร์เฮาส์เก็บสินค้า หรือ โลจิสติกส์ที่จะส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ Commerce ที่เราพยายามสร้างขึ้นมา คล้ายกับการเป็นทีวี ช็อปปิ้ง แต่จะมีความแตกต่าง และให้บริการลูกค้าได้มากกว่า

เราต้องการปรับสื่อแบบดั้งเดิมให้เป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพ  ไม่ใช่แค่ให้ลูกค้ามาลงโฆษณา ซื้อแอร์ไทม์ แต่เราจะช่วย Drive ยอดขาย และ Trafficให้กับแบรนด์ผ่านทางช่องทีวี และออนไลน์

หาแหล่งรายได้ใหม่ กระจายความเสี่ยง รองรับภาวะอุตสาหกรรมหดตัว 

จากแผนการดำเนินงานของ BEC World ทั้งหมดที่พยายามทำเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ในภาวะที่อุตสาหกรรมสื่อมีการหดตัว โดยการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ให้กับธุรกิจรวมถึงสามารถสร้างการเติบโตอย่งยั่งยืนให้กับ BEC ซึ่งเราได้ตั้งเป้าในการปรับสัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจทีวี ซึ่งจะมาจากการขายช่วงเวลาโฆษณาภายในปี 2566 ให้เหลือ 65% จากปัจจุบันอยู่ที่ 83% และเพิ่มสัดส่วนรายได้ในส่วนอื่น ๆ จากกลยุทธ์ใหม่ที่เราได้วางไว้ เป็น 35% จากปัจจุบันที่ 17% ขณะที่การตั้งเป้าหมายในการเติบโตในแง่ของรายได้รวม คาดว่าจะโตเฉลี่ยปีละ 10% นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป...

การแข่งขันทุกวันนี้ดุเดือดมากขึ้น ดังนั้นคนที่เลือกอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ต้องอยู่ให้รอด นี่คือภาพที่เราประเมิน และเป็นภาพที่เกิดขึ้นจริง จากการปรับกลยุทธ์ทั้งหมด ผมมีความคาดหวังสูงกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยจะเริ่มเห็นผลดีขึ้นเรื่อยๆ แต่การสร้างอะไรใหม่ขึ้นมานั้นก็ต้องใช้เวลา





ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

PepsiCo เปิดเวที Greenhouse Accelerator 2025 เฟ้นหาสตาร์ทอัพสายกรีนในเอเชียแปซิฟิก ชิงทุนกว่า 120,000 ดอลลาร์ฯ

PepsiCo ยักษ์ใหญ่ด้านอาหาร และเครื่องดื่มระดับโลก ประกาศเปิดรับสมัครสตาร์ทัพด้านความยั่งยืนรุ่นใหม่จากทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เข้าร่วมโครงการ ‘Greenhouse Accelerator 2025’ ปีที่ 3...

Responsive image

OpenAI เปิดตัว “Tasks” ฟีเจอร์ใหม่ใน ChatGPT เตือนความจำ-สั่งงานล่วงหน้าได้ หมดกังวลเรื่องหลงลืม

หมดกังวลเรื่องหลงลืม! OpenAI เปิดตัว “Tasks” ฟีเจอร์เตือนความจำ-สั่งงานล่วงหน้า บน ChatGPT...

Responsive image

BOI ปรับเกณฑ์ LTR Visa ใหม่ หวังดึง Talent ต่างชาติ-นักลงทุนเข้าไทย

ล่าสุด ครม. อนุมัติบีโอไอ (BOI) ปรับเกณฑ์วีซ่าพิเศษ LTR Visa (Long-Term Resident Visa) หวังดึงบุคคลากรชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง รวมถึงนักลงทุนระดับโลกเข้าสู่ไทย หวังผลักดันไทยเป็น...