บมจ.เบทาโกร (Betagro) หรือ BTG ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 500 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท
ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ (รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัทในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) มูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้น (พาร์) 5.0 บาท และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล.เกียรตินาคินภัทร และ บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ เบทาโกร เป็นผู้ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจรชั้นนำในประเทศไทย โดยครอบคลุมตั้งแต่การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ ปศุสัตว์ ผลิตภัณฑ์สุกร สัตว์ปีก และไข่ไก่ อาหารแปรรูปที่เกี่ยวข้อง และอาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงการจัดจำหน่ายอุปกรณ์ฟาร์ม และการดำเนินงานด้านการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้อง
โดยบริษัทมีรูปแบบการทำธุรกิจแบบครบวงจร (Vertically Integrated Business Model) ที่ครอบคลุมในหลายด้านของห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ (Value Chain) ตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเพาะเลี้ยง และจำหน่ายพ่อแม่พันธุ์สัตว์ การทำฟาร์มเชิงพาณิชย์ การชำแหละและการแปรรูปเนื้อสัตว์ ไปจนถึงการขาย โรงงานผลิตและแปรรูปอาหารที่มีมาตรฐานสูงและมีประสิทธิภาพของบริษัทฯ ตลอดจนความสามารถในการวิจัย และระบบควบคุมภายในของบริษัทฯ ซึ่งคอยติดตามและควบคุมทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่าของอาหาร
ทำให้บริษัทฯ สามารถควบคุมคุณภาพและบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัย โดยมีการใช้มาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) และการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด ตามมาตรฐานสากลซึ่งเป็นที่ยอมรับ.
ขณะเดียวกัน บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่วางขายภายใต้แบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม อาทิ แบรนด์ “BETAGRO” และ “S-Pure” สำหรับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์อนามัย เนื้อสัตว์แปรรูป และอาหารแปรรูป, แบรนด์ “ITOHAM” สำหรับผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเกรดพรีเมียม แบรนด์ “betagro” “Balance” และ “MASTER” สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ แบรนด์ “Better Pharma” และ “Nexgen” สำหรับผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ และแบรนด์ “Perfecta” “DOG n joy” และ “CAT n joy” สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง
ส่วนวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้เพื่อนำเงินจากการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งนี้ไปใช้เป็นเงินทุนในการเข้าซื้อและ/หรือ ก่อสร้างฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่ เพื่อขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงโรงงาน ฟาร์ม รวมถึงสถานที่ต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานของบริษัทฯ รวมถึง
1.การลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์ม โรงชำแหละสัตว์ โรงงานแปรรูปอาหารและเนื้อสัตว์ รวมถึงการผลิตไข่ไก่และโปรตีนทางเลือกในประเทศไทย
2. การลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์ม และโรงชำแหละสัตว์ในประเทศกัมพูชา ประเทศลาว และประเทศเมียนมา
3. การลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์เลี้ยงและขนมขบเคี้ยวสำหรับสัตว์เลี้ยง
4.การลงทุนในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Facilities) ตลอดจนการลงทุนเพื่อนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงการจัดการและดำเนินธุรกิจและการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในการจัดการและดำเนินธุนรกิจ รวมไปถึงการลงทุนในกิจการร่วมค้า
นอกจากนี้ยังมีการวางแผนนำไปชำระหนี้สินระยะสั้น และ/หรือ ระยะยาวให้กับสถานการเงินต่างๆ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนอีกด้วย
ณ วันที่ 31 ธ.ค.64 สำหรับในประเทศไทย บริษัทเป็นผู้ดำเนินงานโรงงานอาหารสัตว์ 9 แห่ง ฟาร์ม 4,829 แห่ง (ประกอบไปด้วย ฟาร์ม 61 แห่งซึ่งบริษัทเป็นเจ้าของ หรือเช่ามา และอีก 4,768 แห่งเป็นฟาร์มเกษตรพันธสัญญา) โรงชำแหละสัตว์ 13 แห่ง และโรงงานแปรรูป 12 แห่งสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารของบริษัทฯ โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง 1 แห่ง และโรงงานผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ 1 แห่ง
สำหรับกลุ่มธุรกิจต่างประเทศ บริษัทเป็นผู้ดำเนินงานโรงงานอาหารสัตว์ 1 แห่ง และฟาร์ม 331 แห่ง (ประกอบไปด้วยฟาร์ม 8 แห่งซึ่งเป็นฟาร์มที่เช่ามา และอีก 323 แห่งซึ่งเป็นฟาร์มเกษตรพันธสัญญา) ในประเทศกัมพูชา และ บริษัทเป็นผู้ดำเนินงานฟาร์ม 131 แห่ง (ประกอบไปด้วยฟาร์ม 3 แห่งซึ่งเป็นฟาร์มที่เช่ามา และอีก 128 แห่งซึ่งเป็นฟาร์มเกษตรพันธสัญญา) และโรงชำแหละสัตว์ 1 แห่ง ในประเทศลาว
บริษัทยังได้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา ศูนย์นวัตกรรมการเกษตร ศูนย์นวัตกรรมอาหาร และศูนย์นวัตกรรมสัตว์เลี้ยงเพื่อปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ และเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Operating Efficiency) ของบริษัทฯ
1.บริษัท เบทาโกร โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 700 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 46.7% หลัง IPO เหลือ 35% (ภายใต้สมมติฐานว่าจะมีการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินทั้งจำนวน)
2. TAE HK Investment 400 ล้านหุ้น หรือ 26.7% หลัง IPO เหลือ 20%
3.กลุ่มเจนจิรา แต้ไพสิฐพงษ์ ถือหุ้น 2.5% หลัง IPO เหลือ 1.9%
4.กลุ่มกรพจน์ อัศวินวิจิตร ถือหุ้น 1.8% หลัง IPO เหลือ 1.4%
5.กรรมการ และ/หรือผู้บริหาร ถือหุ้น 6.5% หลัง IPO เหลือ 4.8%
ณ วันที่ 31 ธ.ค.64 บริษัทและบริษัทย่อยใช้วงเงินกู้ยืมกับธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น 99.9% ของ บล.บัวหลวง หนึ่งในที่ปรึกษาทางการเงิน และหนึ่งในผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายในการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ จำนวน 12,881.0 ล้านบาท และ 70.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นวงเงินกู้ยืมระยะสั้นและวงเงินเบิกเกินบัญชี วงเงินเพื่อออกหนังสือค้ำประกัน และวงเงินซื้อขายเงินตราต่างประเทศ และมียอดเงินกู้คงค้างจำนวน 436.2 ล้านบาท และ 1.6 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ผลประกอบการในช่วงปี 62-64 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมจากการขายสินค้าและการให้บริการ 74,231.6 ล้านบาท 80,102.1 ล้านบาท และ 85,424 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมาจากรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการคิดเป็นสัดส่วน 99% ของรายได้รวม ส่วนกำไรสุทธิ เท่ากับ 1,267.5 ล้านบาท , 2,341 ล้านบาท และ 839 ล้านบาท ตามลำดับ อัตรากำไรสุทธิ 1.69%, 2.90% และ 0.97% ตามลำดับ
ณ สิ้นปี 64 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 57,475.1 ล้านบาท หนี้สินรวม 41,952.9 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้น 5,522.2 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังจัดสรรทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทกำหนดไว้ในแต่ละปี โดยพิจารณาประกอบกับงบการเงินรวม
อ้างอิง infoquest
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด