โควิดสายพันธุ์เดลต้า กำลังกลายเป็น ภัยคุกคาม ทั่วโลกเร่งฉีดวัคซีน ลดความรุนแรงของการแพร่ระบาด | Techsauce

โควิดสายพันธุ์เดลต้า กำลังกลายเป็น ภัยคุกคาม ทั่วโลกเร่งฉีดวัคซีน ลดความรุนแรงของการแพร่ระบาด

โควิดสายพันธุ์เดลต้า หรือไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ที่มาจากสายพันธุ์อินเดีย กำลังระบาดหนักในอังกฤษและสหรัฐฯ ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยก็กำลังประสบปัญหาจากการที่ไวรัสดังกล่าวกระจายตัวในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งความน่ากังวล คือ สายพันธุ์เดลต้ามีอัตราการแพร่เชื้อที่รวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ต้องมีการจับตามองอย่างใกล้ชิด

โควิดสายพันธุ์เดลต้า

โควิดสายพันธุ์เดลต้า กำลังจะกลายเป็น ‘ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด’

นายแพทย์แอนโธนี เฟาซี หัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ของทำเนียบขาว กล่าวว่า โควิดสายพันธุ์เดลต้า กำลังกลายเป็น “ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ในความพยายามที่จะกำจัดไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐฯ

ไวรัสสายพันธุ์เดลต้านั้นตรวจพบครั้งแรกในประเทศอินเดีย ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อประมาณ 20% ในสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นราวเท่าตัวภายในสองสัปดาห์ โดยไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวจะมีรูปแบบการแพร่ระบาดเหมือนกับไวรัสสายพันธุ์อัลฟา ซึ่งพบครั้งแรกในประเทศอังกฤษ และสามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าถึง 60% และยังติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมที่มาจากอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อปลายปี 2019

ผู้เชี่ยวชาญ ชี้ วัคซีนป้องกัน โควิดสายพันธุ์เดลต้า ได้

แพทย์หญิงโรเชล วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ชาวอเมริกันเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้านั้นมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นไวรัสสายพันธุ์หลักของสหรัฐฯ เธอให้สัมภาษณ์กับรายการ ABC ว่า “แม้ว่าการที่สายพันธุ์เดลต้าแพร่ระบาดอย่างมากจะเป็นเรื่องที่น่าห่วงก็ตาม แต่หากเราได้รับวัคซีน ก็จะสามารถช่วยป้องกันไวรัสสายพันธุ์นี้ได้”

แม้ความรุนแรงของเชื้อจะไม่ได้มากไปกว่าสายพันธุ์อัลฟาเท่าไรนัก และวัคซีนก็ยังสามารถป้องกันได้มากกว่าสายพันธุ์เบต้า ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่าเมื่อฉีดวัคซีน Astrazeneca ครบสองโดส จะสามารถป้องกันเชื้อสายพันธุ์เดลต้าแบบมีอาการได้ 60% และป้องกันอาการป่วยหนักได้ 92%

และประสิทธิภาพของวัคซีนหลังจากฉีด Pfizer-BioNTech โดสที่สองได้สองสัปดาห์ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันสายพันธุ์เดลต้าได้ 88% และป้องกันสายพันธุ์อัลฟาได้ 93%” โดยอ้างอิงจากงานวิจัย

ผู้ติดเชื้อ โควิดสายพันธุ์เดลต้า พุ่งแซง สายพันธุ์อัลฟ่าของอังกฤษ

ด้านสหราชอาณาจักร ไวรัสสายพันธุ์เดลต้าก็ได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักแซงหน้าสายพันธุ์อัลฟาซึ่งตรวจพบครั้งแรกภายในประเทศเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา โดยขณะนี้ มีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้ามากกว่า 60% ในอังกฤษ กล่าวคือ ที่อังกฤษแห่งเดียวมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าวถึง 38,000 รายในเดือนที่แล้ว 

และขณะนี้ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์รายใหม่นั้นติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าถึง 90% เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น ๆ นับว่าเป็นการแพร่ระบาดที่มีความรวดเร็วและรุนแรงกว่าในประเทศอื่น ๆ ส่งผลให้รัฐบาลของราชอาณาจักรประกาศเลื่อนคลายล็อกดาวน์ระยะสุดท้ายของอังกฤษออกไปอีก 4 สัปดาห์ เพื่อให้เวลาการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนให้ได้มากที่สุด

ทั่วโลกจับตา เฝ้าระวัง  โควิดสายพันธุ์เดลต้า อย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ดี ยังคงมีสัญญาณบ่งชี้ว่าไวรัสสายพันธุ์เดลต้าจะกระตุ้นให้เกิดอาการที่แตกต่างจากไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ ต้องมีการจับตามองอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นไปได้ที่สายพันธุ์นี้จะแพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยความร้ายกาจที่สุดคือความสามารถในการแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว 

ขณะนี้ ไวรัสสายพันธุ์เดลต้าได้แพร่ระบาดไปถึง 92 ประเทศแล้ว หลายประเทศเริ่มมีแนวโน้มที่จะเผชิญสถานการณ์ไวรัสสายพันธุ์เดลต้าระบาดหนัก แต่อาจยังไม่มีเทคโนโลยีในการตรวจหาเชื้อที่ดีเท่า เช่น ในเอเชีย จึงทำให้เรายังไม่ได้เห็นข้อมูลการติดเชื้อมากนัก โดยในส่วนของประเทศไทย 

ด้านนายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงไวรัสสายพันธุ์เดลต้าว่ามีแนวโน้มจะระบาดเพิ่มขึ้นในไทยทีละน้อย และระบุว่าอีก 3-4 เดือนหลังจากนี้อาจมีการระบาดหนัก อีกทั้งเชื่อว่าในอนาคตจะมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นอีก



อ้างอิง CNBC 


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

มองศึก Virtual Bank ไทย เทียบชั้นผู้เล่นบนเวทีโลกได้หรือไม่

หลังจาก ธปท. เปิดให้ผู้ประกอบการที่สนใจจัดตั้ง Virtual Bank ยื่นขอเข้ามา ส่งผลให้ธุรกิจการเงินในไทยกลับมาคึกคักมากขึ้น...

Responsive image

Google Workspace อัปเกรดครั้งใหญ่ ! ดึงพลัง AI พลิกโฉมการทำงาน

Google Workspace บริการชุดแอปพลิเคชันผ่านระบบคลาวด์ ได้รับการยกเครื่องครั้งใหญ่ด้วยการผสานความสามารถของ Generative AI ในหลากหลายแอปพลิเคชันยอดนิยม เพื่อช่วยให้การทำงานเป็นเรื่องที่...

Responsive image

จาก ลี เซียงลุง สู่ ลอว์เรนซ์ หว่อง ว่าที่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนที่ 4

ลี เซียนลุง ได้สิ้นสุดการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ในวันที่ 16 เมษายน 2024 ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ ลอว์เรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ก้าวขึ้นสู่การเป็นนายกรั...