สารพัดเทคโนโลยีที่ผสานรวมการทำงานบน Web3 อย่าง เมตาเวิร์ส (Metaverse) สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้าน ‘การศึกษา’ และส่งเสริมให้ทุกคนใช้เป็นเครื่องมือเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต และนี่คือประเด็นน่ารู้จากการเสวนาในประเด็น ทำอย่างไรที่จะลดช่องว่างระหว่าง 'การพัฒนาเมตาเวิร์ส' และ 'การสร้างความเท่าเทียมด้านการศึกษา (Bridging the Gap: Metaverse Development and Educational Equity) ซึ่งจัดขึ้นภายในงาน Techsauce Global Summit 2023 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2566
เนื่องจาก การพัฒนาเมตาเวิร์ส (Metaverse Development) รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ ความเสมอทางด้านการศึกษา Educational Equity) กลับลดลงจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาด กล่าวคือ มีความเหลื่อมล้ำเพิ่มมากขึ้นในสังคม เพื่อเป็นการลดช่องว่างทั้งสองด้าน การนำศักยภาพของ Metaverse มาลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา จึงเป็นแนวทางที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
สำหรับผู้ร่วมเสวนาในหัวข้อ 'ทำอย่างไรที่จะลดช่องว่างด้าน 'การพัฒนาเมตาเวิร์ส' กับ 'การสร้างความเท่าเทียมด้านการศึกษา' มีดังนี้
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Cryptomind Advisory รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการเสวนา
3 เรื่องที่อยากฝากไว้เกี่ยวกับเมตาเวิร์ส 1) อย่าให้เด็กอยู่ในโลกออนไลน์มากเกินไป และการเป็นมนุษย์ (Human) ที่ได้ใช้ชีวิตในโลกความจริงนั้น เป็นสิ่งที่สวยงาม (Beautiful Things) 2) ต้องให้เด็กศึกษาวิธีป้องกันข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลในโลกออนไลน์ 3) รัฐบาลควรเข้ามากำกับดูแลการใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้องเหมาะสม เช่น กำหนดมาตรฐานของเทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์มที่ดีควรเป็นอย่างไร แพลตฟอร์มที่ปลอดภัยต้องเป็นอย่างไร
เมตาเวิร์สสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ในด้านส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาทักษะโดยสร้างเป็นคอมมูนิตี ที่ 1) ส่งเสริมการพัฒนาแรงงาน จากการที่ทุกคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย ติดต่อสื่อสารได้ และทำให้คนไทยมี Digital Literacy มากขึ้น 2) ผลักดันให้สตาร์ทอัพทำอะไรได้มากขึ้น ช่วยในการสร้างคอมมูนิตี ระดมทุนได้ แมตชิงได้ และ 3) ช่วยให้คนในสังคมเข้าถึงเครื่องมือและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ทั้งหมดต้องเริ่มจากการเข้าถึงโลกออนไลน์ได้อย่างเท่าเทียม จากการมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ
ในด้านการนำเมตาเวิร์สมาช่วยพัฒนา Smart City และสร้าง Smart People เราสามารถทำให้คนไทยมีความเป็นอยู่ดีขึ้นและเป็น Smart People ได้ เช่น ศรีราชา พื้นที่ที่มีการพัฒนาเป็น Digital Valley แล้วทำให้เทคโนโลยีทำงานร่วมกัน คอนเวอร์เจนซ์กันได้ โดยมีสตาร์ทอัพไทยเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งต้องมีจริยธรรม มีความปลอดภัย จากนั้นนำเมตาเวิร์สมาทำ SImulationality ช่วยให้การจำลองภาพการพัฒนา การทดสอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเมือง ทำได้ก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง
ต่อไปการทำงาน การเรียน การเล่น ต้องทำจากที่ไหนก็ได้ โดย Gamification จะสามารถเป็นได้ทุกอย่าง เพราะการพัฒนาเกมเพื่อทำให้คนมีประสบการณ์ใหม่ๆ ออกแบบได้หลายด้าน ใช้เชื่อมต่อผู้คนจากสถานที่ต่างๆ ใช้พัฒนาการศึกษาได้ และถ้าให้ผู้เรียนเรียนผ่าน Gamification จะทำให้คนเข้าถึงการศึกษาได้ง่ายขึ้น มากขึ้น และสามารถนำมาปฏิวัติการศึกษาได้อีกด้วย
ถ้าย้อนไปดู 15 ปีที่แล้ว ของใช้ในชีวิตประจำวันที่ทำให้ว้าวได้ก็คือ ‘ปาล์ม’ ยุคนี้มีอินเทอร์เน็ต มี ‘เมตาเวิร์ส’ ที่นำมาสร้างสภาพแวดล้อมได้อย่างหลากหลายและทำให้คนว้าว
เมตาเวิร์สช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึงการศึกษาและเรียนดีขึ้นได้ โดยใช้เป็นเครื่องมือ Simulate ในการจำลองสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้
เทคโนโลยี Web3 ที่นำมาพัฒนาเป็น Metaverse ทำให้ทุกคนสามารถทำงานร่วมกัน ใช้ชีวิตแบบ Virtual ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน และ Interact กันได้ โดยวัยทำงานสามารถเติมความรู้ สร้างคอนเน็กชัน หาเพื่อนใหม่ได้ด้วยเมตาเวิร์ส
อีกด้านหนึ่งคือ การดื่มด่ำ (Immersiveness) ไปกับเทคโนโลยีเมตาเวิร์ส จากที่ Morpheus ทำงานกับทางโรมาเนีย แอฟริกาใต้ โดยนำข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาทำ National Artifact ช่วยให้ผู้คนเข้าใจและดื่มดำไปกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ชองประเทศต่างๆ มากขึ้น
‘ประสบการณ์’ คือสิ่งสำคัญที่ได้จากเมตาเวิร์ส หากนำมาใช้ในด้านการศึกษา เช่น ทำเกมในเมตาเวิร์ส เปลี่ยนการสอบปลายภาคแบบเดิมๆ เป็นแบบ Play Test เด็กก็จะทำข้อสอบสนุกขึ้น และเป็นการสร้างประสบการณ์ให้เด็กซึ่งสอดคล้องไปกับเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วแบบเหนือคำบรรยาย (Hype)
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด