Citibank คาดเศรษฐกิจโลกปี 65 ขยายตัวราว 3.8% | Techsauce

Citibank คาดเศรษฐกิจโลกปี 65 ขยายตัวราว 3.8%

ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย (Citibank) เผยข้อมูลคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2565 ยังคงไม่กลับไปยังจุดก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 แต่จะไม่มีการหยุดชะงักของระบบเศรษฐกิจอีก โดยภาพรวมเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มชะลอตัวโดยจะขยายตัวอยู่ที่ราว 3.8% ส่วน สหรัฐฯ และจีน คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ราว 3.5% และ 4.5% ตามลำดับ 

Citibank คาดเศรษฐกิจโลกปี 65 ขยายตัวราว 3.8%

เนื่องด้วยหลายประเทศมีเปลี่ยนแปลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินเข้มงวด ในขณะที่ภาพรวมการลงทุนยังคงเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง แต่นักวิเคราะห์ซิตี้มีมุมมองบวกต่อหุ้นวัฏจักรในอุตสาหกรรมที่ได้ผลประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยแนะนำกระจายการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมหลากหลาย อาทิ กลุ่มการดูแลสุขภาพ กลุ่มพลังงาน เทคโนโลยี และเทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชัน เป็นต้น 

พร้อมกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อลดความผันผวน เช่น ตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่เอเชีย ตราสารหนี้ไฮยิลด์ พันธบัตรสหรัฐอเมริกา โดยเน้นที่การสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในตลาดเอกชนที่มีความเสี่ยงต่ำ และใช้ตลาดทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน 

พร้อมกันนี้แนะนำให้นักลงทุนเฝ้าติดตามความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก เพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาผลประโยชน์พอร์ตลงทุนในระยะยาว 

ด้าน Mr.Ken Peng Head of Investment Strategy, Citi Global Wealth for Asia Pacific กล่าวว่า ภาพรวมภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก ปี 2565 นักวิเคราะห์ซิตี้คาดการณ์ว่าจะไม่กลับไปยังจุดก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 แต่ก็จะไม่มีการหยุดชะงักของระบบเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน แม้ว่าทั่วโลกจะมีสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน โดยนักวิเคราะห์ซิตี้คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 2565 มีแนวโน้มชะลอตัว โดยจะขยายตัวอยู่ที่ราว 3.8% 

เนื่องด้วยหลายประเทศมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น มาตรการการชดเชยทางการเงินขนาดใหญ่จากผลกระทบของโควิด-19 ธนาคารกลางในประเทศที่พัฒนาแล้วกำลังลดทอนมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE (Quantitative Easing) รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายใน 2 ปีต่อจากนี้ 

ตลอดจนธนาคารกลางตั้งเป้าที่จะให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นปานกลางในระยะยาว เป็นต้น ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะอยู่ที่ราว 3.5% โดยได้รับอานิสงส์จากภาคบริการที่กลับมามีความแข็งแกร่ง 

ในขณะที่ภาคการผลิตยังได้รับผลกระทบจากแรงลมหนุนท้าย (tailwind) ส่วนประเทศจีนคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวอยู่ที่ 4.5% โดยมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง จากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงมาตรการควบคุมในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งสินค้าออกไปยังจีน และในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์บางส่วน

ด้านกำไรต่อหุ้นทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น 53% ในปี 2564 น่าจะเติบโตช้าลงเป็น +7 ถึง 8% ภายในปี 2565-2566 ในส่วนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี (10-year US Treasuries) จะเพิ่มผลตอบแทนเป็น 2.1% ภายในสิ้นปี 2565 แม้ว่าโควิดอาจทำให้อัตราผลตอบแทนปกติช้าลง นอกจากนี้นักวิเคราะห์ซิตี้ประมาณการผลตอบแทนหุ้นทั่วโลกในปี 2565 อยู่ที่ 8% ในขณะที่ผลตอบแทนตราสารหนี้คาดว่าจะอยู่ที่ -1% ถึง 0% 

อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันตลาดเพิ่มเติมได้ เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งความสัมพันธ์สหรัฐฯ – จีน หรือความสัมพันธ์สหรัฐ - รัสเซียที่อาจเลวร้ายลง ดังนั้นนักลงทุนควรจับตาประเด็นสำคัญของสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาผลประโยชน์พอร์ตลงทุนในระยะยาว 

Citibank แนะ 3 ธีมที่ควรค่าแก่การลงทุนในปี 65

ทั้งนี้แม้ว่าภาพรวมการลงทุนยังคงเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง แต่นักวิเคราะห์ซิตี้มีมุมมองบวกต่อหุ้นวัฏจักรในอุตสาหกรรมที่ได้ผลประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงเล็งเห็นโอกาส โดยเน้นที่การสร้างรายได้อย่างยั่งยืน และใช้ตลาดทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการถือครองเงินสดหรือตราสารหนี้ ดังนั้นแนะนำกระจายการลงทุนในสินทรัพย์กลุ่มอุตสาหกรรมหลากหลาย โดยกลยุทธ์การลงทุนในปี 2565 สามารถแบ่งเป็น 3 ธีมการลงทุนด้วยกัน ประกอบด้วย 

  • Long term leaders เปลี่ยนการลงทุนระยะสั้นเป็นการลงทุนในกลุ่มผู้นำระยะยาว แม้ว่าปีที่ผ่านมาจะมีอุตสาหกรรมจำนวนมากที่ให้ผลตอบแทนสูง แต่พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีและสม่ำเสมอมากที่สุด คือ กลุ่มไอทีเทคโนโลยี กลุ่มการดูแลสุขภาพ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค

  • Beating the cash thief ประเมินว่าปีนี้เงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น จึงแนะนำมองหาบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลที่ดี และเอาชนะการถือเงินสดด้วยการลงทุนในกลุ่มหุ้นกู้ หรือ ตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนดี เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบทำให้หลายบริษัทต้องมีการจัดการภาระหนี้สินเป็นจำนวนมาก คาดว่ากลุ่มตราสารหนี้ที่น่าจะให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าคือ ตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่เอเชีย ตราสารหนี้ไฮยีลด์ พันธบัตรสหรัฐอเมริกา

  • Unstoppable trends เทรนด์การลงทุนที่ยังมาแรงคือ กลุ่มพลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากในช่วง 2-3  ปีที่ผ่านมา รวมถึงความพยายามในการลดต้นทุนอันเห็นได้จากภาครัฐบาลมุ่งมั่นที่จะทำให้โลกเป็นสีเขียว (greening the world) รวมถึงกลุ่มเทคโนโลยี และเทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชันของทั้งบริษัทสหรัฐฯ หรือจีนที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย ตลอดจนกลุ่มการดูแลสุขภาพที่พบว่ามนุษยชาติจะมีอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น 

ด้าน คุณดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า อย่างไรก็ตามในปี 2565 ซิตี้แบงก์เตรียมนำเสนอกองทุนใหม่ ๆ ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การเติบโตด้านการลงทุน โดยพบว่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ในปีที่ผ่านมามีการเติบโตเป็นที่น่าพึงพอใจ มีการเติบโตในกลุ่มซิตี้โกลด์ รวมถึงซิตี้ไพรออริตี้ ที่พร้อมให้บริการการลงทุนได้ทั่วโลกกว่า 200 กองทุน จากพันธมิตรที่หลากหลายกับ 5 บลจ.ในประเทศและ 12 บลจ.ต่างประเทศ 

ซึ่งมีความหลากหลายของกองทุนทั้งประเภทของสินทรัพย์ และภูมิภาคของการลงทุน ควบคู่ไปกับการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าซิตี้โกลด์ อาทิ บริการผู้ดูแลบัญชีที่พร้อมให้บริการคำแนะนำและอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมต่าง ๆ การลงทุนให้กับลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์ 

พร้อมทั้งให้ลูกค้าสามารถการบริหารความมั่งคั่งสะดวกในทุกโอกาสผ่านซิตี้ โมบายล์ แอปพลิเคชัน โดยลูกค้าซิตี้โกลด์สามารถทำการซื้อ-ขายกองทุนได้ด้วยตัวเอง การตรวจสอบความเคลื่อนไหวของพอร์ทการลงทุน การโอนเงินผ่านทางพร้อมเพย์ไปยังต่างธนาคาร หรือโอนเงินไปยังบัญชีต่างประเทศได้ง่าย ๆ รวมถึงสามารถเปิดบัญชีสกุลเงินต่างประเทศได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น 

ด้านคุณพิชญ์ อัศวสถาพร ที่ปรึกษาทางการลงทุน ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปี 2022 Citi คาดการณ์มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลกจะไม่เห็นการถดถอยอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจ เช่นเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ซึ่งหากดูการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจะพบว่าทั่วโลกมี GDP ถดถอย 3.2% ในปี 2020 และปรับตัวขึ้นมาเป็น 5.6% ในปี 2021 ซึ่งเป็นการฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดด 

ทั้งนี้ในปี 2022 สิ่งที่  Citi คาดการณ์คือเศรษฐกิจทั่วโลกจะถอยตัวลงมาเล็กน้อยไปสู่ 3.8% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระดับปกติ 

ทั้งนี้ทั้งนั้นในมุมมองตรงส่วนนี้ปัจจัยหลักๆที่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดดในปี 2021 และมีแนวโน้มที่จะถอยหลังลงมาเล็กน้อยในปี 2022 หลักๆแล้วเป็นเพราะนโยบายการเงิน ที่จะเป็น key driver ที่จะมีผลต่อการแนะนำการลงทุน 

ในส่วนของตัวเลขเงินเฟ้อเมื่อปีที่ผ่านมาเราเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่รุนแรง หรือ เข้มข้น เงินเฟ้อจึงเกิดตามขึ้นมา ซึ่งในปี 2021 เราได้เห็นมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ค่อนข้างจะเข้มข้นจากหลายๆที่ทั่วโลก ทั้งจากทางรัฐบาลและแบงก์ชาติ ซึ่งที่คาดหวังในปี 2022 ตัวเลขเงินเฟ้ออาจจะยังอยู่ในระดับที่สูงต่อไปสักพัก และหลังจากนั้นจะค่อยๆลดลงตามปัจจัยสองอย่างที่เปลี่ยนไปคือ การเปลี่ยนทิศทางนโยบายทางการเงินของแบงก์ชาติทั่วโลก และจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานจะได้รับการแก้ไข 

ธีมไฮไลท์ของปี 65 คือการเปลี่ยนนโยบายการเงินทั่วโลก เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ขณะเดียวกันตัวเลขที่เกี่ยวกับแรงงานในตลาด และการจ้างงานใหม่เริ่มกลับมาประสานกันดังเดิม จากการที่ถดถอยอย่างรุนแรงในช่วงต้นปี 2020 ทำให้ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทาน จนกระทั่งปี 2021 ตัวเลขค่อยๆปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ดังนั้นปัญหาห่วงโซ่อุปทานจึงคลี่คลาย และอัตราเฉลี่ยของเงินเฟ้อที่ประเมินไว้ในช่วงทศวรรษ 10 ปีข้างหน้านับจากนี้ จะลงมาอยู่ที่ 2.5% ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากอัตรา 1.7%  ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ธีมไฮไลท์ของปีนี้คือการเปลี่ยนนโยบายการเงินทั่วโลก เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ดังนั้นธนาคารกลางๆต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะฝั่งอเมริกา และยุโรปมีการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ในช่วงปี 2020-2021 เพื่อสกัดเงินเฟ้อจึงต้องเปลี่ยนทิศนโยบายการเงิน ดังนั้นเราจะได้เห็นทางแบงก์ชาติสหรัฐเปลี่ยนทิศนโยบายการเงินบ่อยครั้ง ส่วนสิ่งที่นักลงทุนสนใจคือ ทิศทางนโยบายการเงินมีผลอย่างไรกับตลาดหุ้น

ส่วนตลาดหุ้นไทยในปี 2022 ทาง Citibank มองผลจะเป็นบวกมากขึ้น และประเมิน GDP ประเทศไทย 3.6% โดยปัจจัยหลักของการขับเคลื่อนจะอยู่ที่การท่องเที่ยวเป็นสำคัญ โดยประเมินตัวเลขการท่องเที่ยวในปี 2022 จนถึงสิ้นปีว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางจากทั่วโลกเข้ามาในประเทศประมาณ 5 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนของนักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางเข้ามาในประเทศประมาณ 12.5% รวมถึงมาตรการแซนด์บ็อกซ์ที่มีเพิ่มมากขึ้นตามจังหวัดต่างๆที่จะช่วยบูสจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาเช่นกัน 

ทั้งนี้สาเหตุของจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ดีขึ้น แต่ยังไม่สุดนั้น 68% จะมาจากเอเชีย ซึ่งยังคงมีมาตรการในหลายประเทศที่ยังไม่สามารถเดินทางได้สะดวก ทั้งนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยดีขึ้น จะเห็นว่ากลับมาเป็นบวกอยู่ที่ 0.7% 

รวมถึงการส่งออกที่ยังคงอยู่ในจุดที่เกินดุล และแนวโน้มการอุปโภคบริโภคในประเทศดูดีขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อของประเทศไทยจะอยู่ที่อัตรา 1.8% ตลอดทั้งปีเนื่องด้วยอุปสงค์โดยรวมในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ  ดังนั้นทิศทางนโยบายการเงินของทางแบงก์ชาติมีแนวโน้มที่จะเสถียรและไม่เปลี่ยนแปลง โดยไม่มีการปรับทิศเรื่องของดอกเบี้ยนโยบายการเงินตลอดทั้งปี

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

'บ้านปู' ประกาศกลยุทธ์ใหม่ Energy Symphonics เตรียมมุ่งสู่ปี 2030 เปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืน พร้อมเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย ประกาศกลยุทธ์ใหม่ 'Energy Symphonics' หรือ “เอเนอร์จี ซิมโฟนิกส์” เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ปี 2030 เน้นการเปลี่ยนผ่านพลังงานอ...

Responsive image

Google เผยเศรษฐกิจดิจิทัลไทย โตอันดับ 2 ใน SEA มูลค่า 1.61 ล้านล้านบาท ขับเคลื่อนด้วยอีคอมเมิร์ซและการท่องเที่ยวเป็นหลัก

เศรษฐกิจดิจิทัลไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว คาดว่าในปี 2567 มูลค่ารวมของสินค้าดิจิทัลหรือ GMV จะเพิ่มขึ้นถึง 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.61 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566...

Responsive image

AMD ประกาศลดพนักงาน ราว 1,000 คนทั่วโลก หวังเร่งเครื่องสู่ตลาดชิป AI

AMD ผู้ผลิตชิปรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ประกาศแผนปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ โดยจะปลดพนักงานประมาณ 1,000 คน หรือคิดเป็น 4% ของพนักงานทั้งหมด 26,000 คนตามข้อมูลที่บริษัทยื่นต่อสำนักง...