อาชญากรรมบนโลกออนไลน์ หรือ อาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cybercrime) ถือเป็นอาชญากรรมเบอร์ต้น ๆ ที่คนมักตกเป็นเหยื่อ โดยมิจฉาชีพเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีเพื่อหลอกเหยื่อให้หลงกลแล้วได้เงินมาแบบง่าย ๆ ซึ่งนับเป็นภัยร้ายใกล้ตัวเพียงแค่ปลายนิ้ว และนับยิ่งมีหลายรูปแบบมากขึ้น หลายคนจึงตกเป็นเหยื่อโดยไม่ทันคาดคิด

เห็นได้จากสถานการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรืออาชญากรรมไซเบอร์ ในปัจจุบันมีสถิติที่เพิ่มสูงขึ้น และมียอดรับแจ้งความสูงถึง 1,000 เคสต่อวัน ทำให้มีประชาชนเป็นจำนวนมากที่หลงกลตกเป็นเหยื่อจนได้รับความเดือดร้อน สูญเสียทรัพย์สิน ซึ่งในบางรายถึงกับต้องสูญเสียชีวิต 

แฉกลโกงมิจฉาชีพ หลอกเหยื่อบนโลกออนไลน์ หมุดหมายใหม่ของรัฐ-เอกชน 

โดยจากสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ตั้งแต่ 1 มี.ค. 2565 – 6 ก.พ. 2566  มีการรับแจ้งความอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จำนวนทั้งสิ้น 192,031 คดี รวมมูลค่าความเสียหาย กว่า 29,546,732,805 บาท สามารถติดตามอายัดบัญชี  65,872 บัญชี อายัดได้ทัน 445,265,908 บาท โดยที่ได้รับแจ้งมาที่สุดคือ การหลอกลวงซื้อสินค้าออนไลน์ การหลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษจากการทำกิจการรรมทางออนไลน์ การกู้เงิน คดี Call Center และการหลอกให้ลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ 

และด้วยข้อมูลข้างต้นที่กล่าวมานั้น จึงนำมาซึ่งการผสานความร่วมมือเพื่อรวมพลังแฉกลโกงมิจฉาชีพออนไลน์ หวังต้านอาชญากรรมไซเบอร์ ระหว่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และภาคประชาชนขึ้นภายใต้เครือข่ายที่เรียกว่า "ไซเบอร์วัคซีน"

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตระหนักถึงความสำคัญ และห่วงใยประชาชน จึงบูรณาการความร่วมมือระหว่างองค์กรทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน (Public Private Partnership (PPP) เพื่อร่วมเป็นเครือข่ายในการยับยั้ง ป้องกัน และสร้างภูมิคุ้มกัน หรือที่เรียกว่า Cyber Vaccine (ไซเบอร์วัคซีน) แก่ประชาชนเพื่อให้รู้เท่าทันกลโกงรูปแบบต่างๆ ของมิจฉาชีพ  ซึ่งตลอดระยะเวลาการดำเนินงานได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ไปยังประชาชน

สำหรับการแก้ไขในระยะเร่งด่วนของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือ 

1.เสนอร่างกฎหมาย ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย ครม. ผ่านร่างกฎหมายแก้อาชญากรรมออนไลน์ ตัดเส้นทางบัญชีม้า (หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าบัญชีปลอมแปลงนั่นเอง) ลงโทษหนักถึงติดคุก 

2.เร่งประชาสัมพันธ์สื่อ เพื่อต้านภัยทางเทคโนโลยี หรือที่เรียกว่า "ไซเบอร์วัคซีน"  เพื่อให้ประชาชนรู้ทันรูปแบบกลโกงในโลกออนไลน์ 

สร้างภูมิคุ้มกันต้านภัย Cyber 

ด้าน คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่อาชญากรรมไซเบอร์ได้พัฒนารูปแบบกลลวงอย่างหลากหลายและรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาความมั่นคงระดับชาติ เพราะส่งผลกระทบทั้งต่อการดำเนินชีวิตของคนไทย และความมั่นคงของประเทศ นอกจากนี้ในการประชุม World Economic Forum 2023 ได้จัดให้ 'ภัยคุกคามไซเบอร์' เป็น 1 ใน 5 ความเสี่ยงที่สำคัญระดับโลก 

โดยมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ อาทิ Malware, Ransomware ที่จะสูงถึง 10.5 ล้านล้านเหรียญภายในปี 2025 นั้น เครือเจริญโภคภัณฑ์และกลุ่มบริษัทในเครือฯ ในฐานะของผู้นำธุรกิจภาคเอกชน จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำร่องด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับกลโกงต่างๆ ของอาชญากรรมไซเบอร์เป็นองค์กรแรก 

เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไซเบอร์วัคซีนให้ประชาชนชาวไทยมีความรู้เท่าทันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ ซึ่งการร่วมสร้างความตื่นรู้ให้สังคมไทยในครั้งนี้ สอดคล้องกับค่านิยม 3 ประโยชน์ที่เครือฯ ยึดมั่นในการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนเป็นสำคัญ

โดยเครือฯ ได้ระดมสรรพกำลังของกลุ่มธุรกิจในเครือ เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์กลโกงของอาชญกรรมไซเบอร์ในทุกช่องทางการสื่อสารอย่างเต็มศักยภาพรวมระยะเวลา 2 ปี ทั้ง 

1.จากกลุ่มโทรคมนาคมและร้านค้าปลีกค้าส่ง คือการส่ง SMS เตือนภัยผ่านเครือข่ายทรูมูฟ เอช ซึ่งมีผู้ใช้บริการรวม 37 ล้านเลขหมาย ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในเดือนมกราคมที่ผ่านมา

2. การเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อภายในลักษณะต่างๆ ในร้านเซเว่น – อีเลฟเว่นกว่า 13,000 สาขาประเทศ ซึ่งมีจำนวนลูกค้าเข้าใช้บริการ 11,404,314 คนต่อวัน ในแม็คโคร 152 สาขา และโลตัสมากกว่า 2,000 สาขา 

3.การประชาสัมพันธ์รายการในสถานีข่าว TNN16 และช่อง True4U 

4.การจัดกิจกรรมแฮกกาธอนในกลุ่มเยาวชน คิดค้นไอเดียรับมือกลโกง รวมถึงการกระจายข่าวสารผ่านพนักงานกว่า 361,570 คนทั่วประเทศ ซึ่งความหลากหลายทางธุรกิจฯ ของเครือ จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ข่าวสารเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง และทำให้ประชาชนรู้เท่าทันกลโกงรูปแบบต่างๆ ของมิจฉาชีพได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดความสูญเสียทั้งต่อประชาชนและประเทศชาติที่อาจเกิดขึ้นต่อไป

18 กลโกงหลักของมิจฉาชีพออนไลน์มีอะไรบ้าง ?

สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบัน สามารถติดตามรูปแบบการประชาสัมพันธ์กลโกงได้ที่ pctpr.police.go.th โดยมี 18 กลโกงหลักของมิจฉาชีพ ที่ใช้หลอกลวงเหยื่อบนโลกออนไลน์ คือ 1) หลอกขายสินค้าออนไลน์ 2) หลอกให้ทำงานเสริมออนไลน์ 3) เงินกู้ออนไลน์ (เงินกู้ทิพย์) 4) ข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัว (Call Center)  5) หลอกลวงให้ลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ  6) หลอกให้รักแล้วลงทุน 7) หลอกให้รักแล้วโอนเงิน หรือยืมเงิน 

8) ปลอมหรือแฮคบัญชีไลน์ เฟซบุ๊ค แล้วหลอกยืมเงิน 9) แชร์ลูกโซ่ 10) การพนันออนไลน์ 11) หลอกให้โหลดโปรแกรมควบคุมคอมพิวเตอร์ทางไกล เพื่อขโมยข้อมูล 12) ส่ง QR Code หลอกให้โอนเงิน 13) ฉ้อโกงรูปแบบอื่น โดยหลอกลวงด้วยเรื่องราวต่าง ๆ 14) โฆษณาเชิญชวนไปทำงานต่างประเทศ 

15) หลอกลวงให้ถ่ายภาพโป๊เปลือย เพื่อข่มขู่เรียกเงิน16) ยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) และร่วมกันกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ฟอกเงิน 17) ข่าวปลอม 18) เรียกค่าไถ่ทางคอมพิวเตอร์ 

หากสงสัยเกรงจะตกเป็นเหยื่อสามารถปรึกษาได้ที่ สายด่วน บช.สอท. 1441 หรือ ศูนย์ PCT 081-8663000 ผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com