Disney vs. Netflix ศึกสตรีมมิ่งเดือด! อนาคต Netflix จะเป็นอย่างไร เมื่อ Disney Plus เข้ามาตีตลาด

Disney vs. Netflix ศึกสตรีมมิ่งเดือด! อนาคต Netflix จะเป็นอย่างไร เมื่อ Disney Plus เข้ามาตีตลาด

Disney Plus บริการสตรีมมิ่งวิดิโอออนไลน์ของดิสนีย์ กำลังจะเป็นคู่แข่งที่น่าจับตาของ Netflix, HBO Now โดยจะเปิดให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงออริจินัลคอนเทนต์รวมถึงรายการโทรทัศน์ภาพยนตร์และสารคดีใหม่ล่าสุดของ Disney และ Fox

Disney Plus จะเป็นที่เดียวที่เปิดสตรีมคอนเทนต์ทั้งหมดของดิสนีย์ โดยจะรวมรวมคอนเทนต์ของทางของดิสนีย์ทั้ง Marvel, Pixar, Star Wars และ National Geographic นอกจากนี้ยังจะรวมโปรแกรมจากทาง Fox อย่าง The Simpsons ทั้ง 30 ซีซั่น, The Sound of Music, The Princess Bride และ Malcolm in Middle นอกจากนี้ยังมีแพลนในการรีเมคหนัง Home Alone อีกด้วย

Disney Plus จะเปิดให้ใช้บริการวันที่ 12 พฤศจิกายน ในประเทศสหรัฐ แคนาดา และเนเธอร์แลนด์ และต่อมาในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ วันที่ 19 พฤศจิกายน โดยมีแผนที่จะเปิดตัว Disney Plus ทั่วโลกภายในสองปี

Disney Plus vs Netflix

หลังจากหลายปีที่รายการทีวีและผู้ให้บริการเช่าวิดีโอได้สูญเสียลูกค้าให้กับ Netflix ล่าสุดยักษ์ใหญ่ของโลกทีวีอย่าง Disney, WarnerMedia และ NBCUniversal ก็กำลังเข้าสู่สงครามสตรีมมิ่งด้วยเช่นกัน

Netflix เป็นสถานที่แรกที่รับชมภาพยนตร์ของดิสนีย์ด้วยบริการ Subscription นั่นหมายความว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา Netflix เป็นแหล่งรวบรวมหนังบล็อกบัสเตอร์ที่ใหญ่ที่สุด

แต่ในปลายปี 2019 คอนเทนต์จากทางดิสนีย์ส่วนใหญ่ก็จะเริ่มหายไปจากแพลตฟอร์มของ Netflix แล้ว

ดิสนีย์ตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญากับ Netflix เนื่องจากวางแผนที่จะทำบริการสตรีมมิ่งของตนเอง เริ่มต้นด้วยการสร้างภาพยนตร์ Disney ในปี 2019 ซึ่งภาพยนตร์ทั้งหมดถูกกำหนดให้ปล่อยสตรีมบน Disney Plus เช่น Captain Marvel ซึ่งเป็นภาพยนตร์ภาคแรกของดิสนีย์ ที่จะปล่อยสตรีมใน Disney Plus เป็นที่แรก แทนการปล่อยคอนเทนต์บน Netflix

แต่การออกใบอนุญาตปล่อยสตรีมมิ่งมีความซับซ้อนมากกว่านั้น รายงานระบุว่า Disney จะส่งภาพยนตร์เหล่านั้นไปสตรีมที่ Netflix และจะทำการลบออกจากคลังของ Disney Plus เริ่มต้นในระยะชั่วคราวในปี 2026 โดยจะมีผลกับภาพยนตร์ที่วางจำหน่ายระหว่างเดือนมกราคม 2016 ถึงธันวาคม 2018 ซึ่งนี่รวมถึงชุดภาพยนตร์ของ Marvel อย่าง Captain America: Civil War, Thor: Ragnorak, Black Panther และ Avengers: Infinity War, Rogue One: A Star Wars Story และ The Last Jedi และภาพยนตร์ของพิกซาร์อย่าง Finding Dory, Coco, The Incredibles 2 รวมถึง Moana และ Beauty and the Beast

Disney Plus จะยังคงเป็นช่องทางเดียวที่จะมีภาพยนตร์ใหม่ล่าสุดทั้งหมดของดิสนีย์

Disney Plus จะไม่สูญเสียผู้ชมภาพยนตร์เหล่านั้นจนกว่าจะถึงหกปีหลังจากเปิดตัวบริการ และในตอนนั้น Disney Plus ก็จะสามารถสร้างคลังคอนเทนต์ต้นฉบับขนาดใหญ่ของตัวเองได้

ซีรีส์ที่Netflix ได้ร่วมมือกับ Disney อย่างชุด Marvel's The Defenders นั้นก็ซับซ้อนเช่นกัน ซึ่งก็มีโปรเจคที่ยกเลิกไปแล้วคือ Daredevil, Luke Cage และ Iron Fist จากนั้นในปี 2019 Netflix ได้ทำการยกเลิกสองคนสุดท้ายของ The Punisher และ Jessica Jones Kevin Mayer โดยผู้บริหาร Disney Plus ได้ออกมาประกาศว่า Disney Plus จะทำการฟื้นฟูรายการที่ถูกยกเลิกไป

แล้ว Netflix จะทำอย่างไร?

ในตอนนี้ Netflix กำลังเร่งผลิตออริจินัลคอนเทนต์ของตัวเอง โดยในปี 2018 ได้มีการลงทุนไปกับออนิจินัลคอนเทนต์กว่า 12 พันล้านเหรียญ คาดว่าจะมีการลงทุนถึง 15 พันล้านเหรียญในปีนี้

และที่น่าจับตาคือ Netflix กำลังเร่งทำอนิเมะของตัวเอง ล่าสุดเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Netflix ได้เซ็นสัญญากับสตูดิโอแอนิเมชั่นสัญชาติญี่ปุ่น อย่าง Anima, Sublimation และ David Production เพิ่มจากสองพันธมิตรก่อนหน้าอย่าง Production I.G และ Bones ซึ่งนี่จะเป็นการเปิดให้เหล่า creator ได้มีอิสะในการสร้างคอนเทนต์

Netflix ยังคงได้เปรียบตรงที่เปิดให้บริการใน 190 ประเทศ จากทั้งหมด 195 ประเทศทั่วโลก ซึ่งการที่หันมาสร้างเอนิเมะ ก็อาจทำให้ได้ฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น

ทำไม Netflix ถึงหันมาโฟกัสในการสร้างอนิเมะของตัวเอง?

อนิเมะ อาจจะเป็นความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ระหว่าง Netflix และ Disney Plus เนื่องจากดิสนีย์ไม่มีอนิเมะเป็นออริจินัลคอนเทนต์ของตัวเอง อีกทั้งดิสนีย์ยังได้ประกาศว่าคอนเทนต์ทั้งหมดจะมีเนื้อหาฟีลกู้ดเหมาะสำหรับครอบครัว (ไม่มีหนังเรท R) ซึ่งนี่อาจจะเป็นข้อได้เปรียบที่ใหญ่พอสมควรสำหรับ Netflix โดยเฉพาะเมื่อความนิยมเอนิเมะได้ทวีขึ้นเรื่อยๆ ในรอบสิบปีที่ผ่านมา

เป็นที่น่าจับตาว่าการเดิมเกมของ Netflix ในครั้งนี้จะส่งผลต่ออนาคตของ Netflix อย่างไร อย่างไรก็ตาม นี่ก็ถือเป็นข่าวดีของแฟนๆ เอนิเมะทั่วโลก ท้ายที่สุดแล้ว Disney Plus จะเข้ามาชิงตำแหน่งผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งได้หรือไม่ หรือจะเป็นเจ้าอื่น ผู้อ่านคิดว่าอย่างไร?

อ้างอิงเนื้อหาข่าวจาก Fortune, Cnet, Techradar, Business Insider

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ไม่ยอมขายแอป ก็โดนแบน สหรัฐฯ จ่อแบน TikTok หวั่นเป็นภัยความมั่นคงชาติ

สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายแบน TikTok แล้ว บังคับบริษัทแม่ ByteDance ต้องขายแอปภายใน 1 ปี มิฉะนั้นจะถูกแบนในสหรัฐฯ ด้านซีอีโอ TikTok ประกาศกร้าว พร้อมท้าทายกฎหมาย ไม่ไปไหนทั้งนั้น...

Responsive image

KBank ผนึก J.P. Morgan เปิดโปรเจกต์ Carina ใช้บล็อกเชน ลดเวลาทำธุรกรรมจาก 72 ชั่วโมงเหลือ 5 นาที

Kbank ร่วมกับ J.P. Morgan Chase Bank เปิดตัวโปรเจคต์นวัตกรรมคารินา (Carina) ลดระยะเวลาการทำธุรกรรม จากที่ใช้เวลา 72 ชั่วโมงเหลือเพียงแค่ 5 นาที...

Responsive image

Apple Vision Pro ขายไม่ดีอย่างที่คิด Apple ลดคาดการณ์ยอดขายกว่าครึ่ง ปรับแผนใหม่

Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์สาย Apple เผยว่า Apple ได้ลดตัวเลขยอดขาย Apple Vision Pro ในปีนี้เหลือเพียง 400-450,000 เครื่องเท่านั้น ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ (มากกว่า 700–800,000 เครื่อง)...