บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เตรียมเดินเครื่องโรงงานแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เฟสแรกขนาด 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง และโรงงานผลิตรถบัสไฟฟ้าเร็วๆนี้ เปิดประตูสู่ New S-Curve ก้าวเข้าสู่ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเต็มตัว ล่าสุด Amita Technology บริษัทย่อยในไต้หวันจับมือกับ ITRI สถาบันวิจัยไต้หวัน คว้ารางวัลระดับโลก R&D100 จากผลงานการวิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่ Solid-state เทคโนโลยีแห่งอนาคตที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ปลอดภัย ลดต้นทุน ชาร์จได้เร็ว และ อายุการใช้งานมากขึ้น เตรียมพัฒนานำมาใช้ในระยะถัดไป
คุณอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า จากการวางแผนกลยุทธ์และการลงทุนของกลุ่ม EA เพื่อสร้าง New S-Curve ตลอดช่วงกว่า 4 ปีที่ผ่านมา จะเริ่มเห็นสะท้อนผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมและสร้างผลประกอบการอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป โดยล่าสุดโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเฟสแรกขนาดกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี (GWh) ที่ ณ ปัจจุบัน ได้ดำเนินการมาจนถึงระยะใกล้จะผลิตจริง โดยอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักรและคาดว่าจะสามารถเริ่มทำการผลิตได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2ปีนี้เป็นต้นไป
ขณะที่โรงงานประกอบรถบัสโดยสารไฟฟ้าและรถขนาดใหญ่ ก็จะเริ่มทำการผลิตและส่งมอบได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 นี้เช่นกัน ในส่วนโครงการเรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry ที่เปิดให้บริการทดลองวิ่งฟรีอยู่จนถึงช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ ก็พร้อมเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบได้ในช่วงกลางปีนี้อีกด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมที่กำลังมีการพัฒนาไปสู่ประเภท Solid-state นั้น ทางกลุ่ม EA อยู่ระหว่างการศึกษาอยู่เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น ซึ่งจากความร่วมมือระหว่าง Amita Technologies Inc., บริษัทย่อยในไต้หวัน กับ Industrial Technology Research Institute หรือ ITRI ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของรัฐบาลไต้หวัน ได้ดำเนินการจนประสบความสำเร็จ โดยได้ร่วมกันทำการพัฒนาแบตเตอรี่ Solid-state ในชื่อ NAEPE (Networked-Amide Epoxy Polymer Electrolyte) จนได้รับรางวัล R&D100 ประจำปี 2020 ซึ่งเป็นรางวัลด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลกและได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น “The Oscars of Innovation Awards” จากผลสำเร็จในครั้งนี้ ทำให้ EA เชื่อว่า กลุ่มของบริษัทฯ จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวจนนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ และต่อยอดไปยังยานยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิสูงยิ่งขึ้นได้ต่อไป
สำหรับปี 2564 บริษัทฯ ตั้งงบประมาณการลงทุนไว้ประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนต่อเนื่องจากปีก่อนธุรกิจแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า ที่จะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของผลประกอบการ
"ภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯในปี 2564 จะแสดงถึงการก้าวเข้าสู่ New S-Curve อย่างชัดเจนและเชื่อว่าจะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญเริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจแบตเตอรี่ ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ทั้งหมดจะมีการเติบโตที่เกี่ยวเนื่องและสนับสนุนกัน ในขณะที่ธุรกิจเดิมคือโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มและวินด์ฟาร์ม ขนาดกำลังการผลิตรวม 664 เมกะวัตต์ ยังคงเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้และอัตรากำไรที่แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการขยายไปยังโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรูปแบบใหม่ทั้งโซลาร์รูฟท็อป และโซลาร์ลอยน้ำ อีกทั้งยังมีการศึกษาและเตรียมการพัฒนาโครงการอื่นๆ ที่น่าสนใจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนใครงการต่างๆปีนี้รวม 6,141 ล้านบาท ” คุณอมรกล่าว
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด