ยิ่งอากาศร้อนโซเชียลยิ่งเดือด! MIT ชี้อากาศแค่ ‘35 องศา’ สามารถทำคนโพสต์เนื้อหาแง่ลบมากขึ้น

ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ความรู้สึกฉุนเฉียวที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจนนั้นอาจไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่วิทยาศาสตร์เริ่มมีคำตอบที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด งานวิจัยชิ้นสำคัญจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ได้ตอกย้ำความเชื่อนี้ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดมหึมาจากโซเชียลมีเดียกว่า 1.2 พันล้านโพสต์ และค้นพบความจริงที่น่ากังวลว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ร่างกาย แต่กำลังกัดกร่อน "สุขภาพทางอารมณ์" ของมนุษยชาติอย่างเงียบๆ

งานวิจัยชิ้นนี้ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสารอย่าง One Earth ภายใต้หัวข้อ "Unequal Impacts of Rising Temperatures on Global Human Sentiment" ไม่ได้เป็นเพียงการสำรวจความรู้สึก แต่เป็นการเจาะลึกถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อนในมิติที่ซับซ้อนและเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง นั่นคือ "อารมณ์" ของผู้คนในชีวิตประจำวัน

ความรู้สึกมนุษย์ผ่านข้อมูลโซเชียลมีเดีย

ทีมวิจัยจาก MIT และสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน ได้ริเริ่มโครงการวิเคราะห์ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยรวบรวมโพสต์สาธารณะจากแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง Twitter (ปัจจุบันคือ X) และ Weibo ตลอดทั้งปี 2019 ครอบคลุมพื้นที่ 157 ประเทศ และวิเคราะห์ข้อความใน 65 ภาษา เพื่อให้ได้ภาพสะท้อนอารมณ์ของผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกอย่างแท้จริง

หัวใจสำคัญของงานวิจัยนี้คือการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) ที่ล้ำสมัยอย่าง BERT (Bidirectional Encoder Representations from Transformers) เพื่อตีความและให้คะแนน "ความรู้สึก" (Sentiment) ของแต่ละโพสต์ โดยมีค่าตั้งแต่ 0.0 (เชิงลบอย่างยิ่ง) ไปจนถึง 1.0 (เชิงบวกอย่างยิ่ง)

จากนั้น ข้อมูลคะแนนอารมณ์เหล่านี้จะถูกนำมาจับคู่กับข้อมูลสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ทางภูมิศาสตร์กว่า 2,988 แห่ง ทำให้นักวิจัยสามารถเห็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่าง "อุณหภูมิ" และ "อารมณ์" ที่แสดงออก

"ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียเปรียบเสมือนหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดให้เรามองเห็นอารมณ์ของผู้คนข้ามวัฒนธรรมและทวีปได้อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน" Jianghao Wang หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว "มันทำให้เราวัดผลกระทบทางอารมณ์จากภาวะโลกร้อนได้ในสเกลที่การทำแบบสำรวจทั่วไปไม่สามารถเทียบได้เลย"

จุดเดือดทางอารมณ์ เมื่ออุณหภูมิพุ่งเกิน 35°C

ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าตกใจและชัดเจนอย่างยิ่ง ทีมวิจัยพบว่ามี "จุดเปลี่ยน" ที่สำคัญ เมื่ออุณหภูมิในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งพุ่งสูงเกิน 35 องศาเซลเซียส (95 องศาฟาเรนไฮต์) โพสต์บนโซเชียลมีเดียจากพื้นที่นั้นจะแสดงออกถึงความรู้สึกเชิงลบเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ "ความเหลื่อมล้ำ" ของผลกระทบที่ซ่อนอยู่

  • ในประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง (ตามเกณฑ์ของธนาคารโลก) เมื่ออุณหภูมิเกิน 35°C ระดับความรู้สึกเชิงลบจะพุ่งสูงขึ้นถึง 25%
  • ในขณะที่ประเทศที่มีรายได้สูง ระดับความรู้สึกเชิงลบเพิ่มขึ้น 8%

ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า ผลกระทบจากอากาศร้อนจัดนั้นรุนแรงกว่าในกลุ่มประเทศที่เปราะบางทางเศรษฐกิจถึง 3 เท่า ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การเข้าถึงเครื่องปรับอากาศที่จำกัด สภาพที่อยู่อาศัยที่ไม่เอื้ออำนวย หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่สามารถรองรับคลื่นความร้อนได้ดีพอ

"งานวิจัยของเราเผยให้เห็นว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นไม่ได้คุกคามแค่สุขภาพกายหรือผลิตภาพทางเศรษฐกิจ แต่ยังกระทบต่อความรู้สึกของผู้คนทุกวัน ทั่วโลก" Siqi Zheng ศาสตราจารย์จาก MIT และผู้ร่วมวิจัยกล่าว "นี่คือการเปิดพรมแดนใหม่ของความเข้าใจว่าความเครียดจากสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลต่อสุขภาวะของมนุษย์ในระดับโลกอย่างไร"

มองไปสู่อนาคตที่ร้อนรน (กว่าเดิม)

ทีมวิจัยไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต พวกเขายังได้ใช้แบบจำลองสภาพภูมิอากาศโลก (Global Climate Models) เพื่อคาดการณ์ผลกระทบในระยะยาวไปจนถึงปี 2100 แม้จะรวมปัจจัยเรื่องการปรับตัวของมนุษย์เข้าไว้ในการคำนวณแล้วก็ตาม

ผลการคาดการณ์ชี้ว่า ภายในสิ้นศตวรรษนี้ เพียงแค่อิทธิพลจากอุณหภูมิสุดขั้วอย่างเดียว ก็อาจทำให้ สุขภาวะทางอารมณ์ (Emotional Well-being) ของประชากรโลกลดลงโดยเฉลี่ยถึง 2.3% เมื่อเทียบกับปี 2019

"เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของผู้คนในระดับโลก" Nick Obradovich หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว "และการช่วยให้ผู้คนมีความยืดหยุ่นทางอารมณ์ต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ จะเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปรับตัวของสังคมโดยรวม"

แม้ว่าทีมวิจัยจะยอมรับถึงข้อจำกัดที่ว่าผู้ใช้โซเชียลมีเดียอาจไม่ใช่ภาพแทนของประชากรทั้งหมด (โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ) แต่พวกเขากลับชี้ว่า กลุ่มคนเหล่านี้คือกลุ่มที่เปราะบางต่อคลื่นความร้อนมากที่สุด ซึ่งหมายความว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงในสังคมอาจรุนแรงกว่าตัวเลขที่ปรากฏในงานวิจัยเสียอีก

การศึกษาชิ้นนี้จึงเป็นเหมือนเสียงเตือนครั้งสำคัญ ที่บอกเราว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องไกลตัว และผลกระทบของมันก็ลึกซึ้งกว่าที่เราเคยเข้าใจ มันคือภัยคุกคามที่กำลังส่งผลต่อ "ใจ" ของเราทุกคน และกำลังซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่แล้วในสังคมโลกให้ถ่างกว้างออกไปอีก

ที่มา: neurosciencenews

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ปฏิวัติวงการวัสดุศาสตร์! นักวิจัยสร้าง ‘Structural Color’ เปลี่ยนสีได้ดั่งใจ ไม่พึ่งสารเคมี

นักวิจัย University of Florida พัฒนาวัสดุอัจฉริยะเปลี่ยนสีได้ทันทีด้วย Vanadium Dioxide ไม่ง้อสีย้อมเคมี ใช้หลักการ Structural Color ประยุกต์ใช้ได้ทั้งสิ่งทอ แฟชั่น และชุดพรางตัวทห...

Responsive image

เจาะดีล Netflix เข้าซื้อ Warner Bros ทำไมถึงยอมจ่ายมากถึง 8.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำไมหลายคนไม่เห็นด้วย

นับเป็นข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการบันเทิงหนัง Netflix เจ้าตลาดสตรีมมิ่งประกาศเข้าซื้อกิจการ Warner Bros. ซึ่งนับรวมถึงสตูดิโอสร้างภาพยนตร์-โทรทัศน์ และธุรกิจสตรีมมิ่ง HBO Max และ HBO ด...

Responsive image

ซีอีโอ AWS ชี้ AI Agents จะเปลี่ยนโลกยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ต เราอาจได้เห็น AI Agent พันล้านตัวรันองค์กร

AWS ซีอีโอประกาศชัด AI Agents จะสร้างผลกระทบต่อโลกธุรกิจยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ตและ Cloud พร้อมเปิดยุคที่ ‘AI Agent พันล้านตัว’ ทำงานอัตโนมัติอยู่หลังองค์กรทั่วโลก เร่งผลตอบแทนทางธุรกิ...