สานต่อจาก อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576 (Futures of Mental Health in Thailand 2033) งานวิจัยที่เผยแพร่ในปีที่ผ่านมา ล่าสุดมีงานวิจัยที่เพิ่งเปิดตัวสดๆ ร้อนๆ ในชื่อ 'อนาคตสุขภาพและสุขภาวะสังคมไทย พ.ศ. 2576 (Futures of Health and Wellness in Thailand 2033)' ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่าง 4 หน่วยงาน ได้แก่ 1) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) 2) กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข 3) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ 4) ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษาฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ โดย บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales LAB by MQDC)
งานวิจัย อนาคตสุขภาพและสุขภาวะสังคมไทย พ.ศ. 2576 (Futures of Health and Wellness in Thailand 2033) ชิ้นนี้ ทั้ง 4 หน่วยงานมุ่งนำเสนอองค์ความรู้ด้านสุขภาพและสุขภาวะ ประเด็นปัญหาสำคัญ สถานการณ์ปัจจุบัน สัญญาณการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ ภาพอนาคต และข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพและสุขภาวะของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกัน เพื่อให้เกิดการสร้างความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพและสุขภาวะ ส่งเสริมการพัฒนาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการเตรียมความพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ทั้งในมิติสังคม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม กฎหมาย นโยบาย และค่านิยม รวมทั้งเพื่อออกแบบอนาคตที่พึงประสงค์ต่อการดูแลสุขภาพและสุขภาวะของสังคมไทย
นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพจิตและความเจ็บป่วยทางจิตเวช ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากปัจจัยหลากหลายประการ โดยข้อมูลจากคลังข้อมูลทางการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานถึงความเปลี่ยนแปลงจำนวนผู้ป่วยที่มารับบริการด้านจิตเวช ซึ่งพบว่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 จากจำนวนผู้ป่วยที่มารับบริการด้านจิตเวช 1.3 ล้านคน ในปี 2565 เพิ่มขึ้นถึง 2.4 ล้านคน โดยปัญหาที่พบส่วนใหญ่พบได้ในทุกช่วงวัย เช่นเด็กและเยาวชนมีปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคซึมเศร้า ความเครียดและความวิตกกังวล อีกทั้งยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการทำร้ายตัวเองอีกด้วย
ส่วนปัญหาสุขภาพจิตในวัยอื่น เช่น ผู้สูงอายุ ปัจจุบันพบว่า กว่า 8 แสนคนมีโรคความจำเสื่อมและในจำนวนนี้ ร้อยละ 90 ประสบปัญหาทางสุขภาพจิตร่วมด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้คนไทยมีสุขภาวะทางกายและใจที่สมบูรณ์ นั่นหมายถึงจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือมีอาการเจ็บป่วยต้องลดลง ในขณะที่ผู้เจ็บป่วยสามารถรู้เท่าทันสัญญาณเตือนต่างๆ ด้วยตนเองและเข้าถึงระบบการรักษาได้อย่างสะดวกรวดเร็ว แต่นโยบายที่จะทำให้การดูแลนั้นสมบูรณ์ทั้งกายและใจแบบองค์รวมจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากนโยบายไม่ได้มุ่งเน้นที่การส่งเสริมและการดูแลตั้งแต่ต้นเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมเรื่องของสุขภาพกายและใจ ตั้งแต่ในระดับบุคคลครอบครัวก่อนจะนำไปสู่สังคมและชุมชน ที่สำคัญที่สุดคือ ทุกภาคส่วนต้องมุ่งมั่นที่จะทุ่มเทให้ความสำคัญในทุกด้านของสุขภาพจิต และช่วยกันพัฒนา เพื่อให้เรื่องของสุขภาพจิตเป็นเรื่องของทุกคนต่อไป
ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) กล่าวว่า การทำให้ประเทศได้เห็นถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงของอนาคตการทำธุรกรรมทางออนไลน์รวมถึงชีวิตดิจิทัล ผ่านการจัดทำฉากทัศน์ภาพอนาคต หรือที่เรียกว่า Foresight ที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันแสกนและจับสัญญานทิศทางที่เกิดขึ้น และร่วมออกแบบภาพอนาคตไปพร้อมๆ กัน เป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่ ETDA โดย ศูนย์คาดการณ์อนาคต หรือ ETDA Foresight Center เดินหน้าดำเนินงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ ทั้งภาครัฐ เอกชน มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศได้เห็นถึงภาพความเปลี่ยนแปลงก่อนที่อนาคตจะมาถึง สู่การกำหนดยุทธศาสตร์ ตลอดนโยบายการขับเคลื่อนประเทศในด้านที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปีนี้ ETDA Foresight Center มุ่งดำเนินงานในการคาดการณ์อนาคตเพื่อเร่งส่งเสริมและสนับสนุนให้การยกระดับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของคนไทย ที่ไม่จำกัดแค่เรื่องของ Digital Adoption and Transformation เท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงความยั่งยืนของการใช้งานที่ย้อนกลับมาสร้างผลกระทบในอนาคต หรือที่เรียกว่า Regenerative Digitalization
ดังนั้น ความร่วมมือในการทำ Foresight ระหว่าง ETDA และ 3 หน่วยงาน ถือเป็นกลไกสำคัญที่เข้ามาสนับสนุนในเรื่องนี้ และเป็นการสานต่อการดำเนินงานจากปีที่แล้วที่เราได้มีการฉายภาพอนาคตสุขภาพจิตของคนไทย สู่การร่วมกันศึกษา อนาคตสุขภาพและสุขภาวะสังคมไทย พ.ศ. 2576 (Futures of Health and Wellness in Thailand 2033) ในปีนี้ เพื่อร่วมศึกษาและมองหาสัญญาณแห่งอนาคต ว่ามีมิติไหนบ้างที่ต้องจับตาให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับการดูแลสุขภาพของคนไทยแบบองค์รวมอย่างไรให้มีความปลอดภัย น่าเชื่อถือ และสร้างผลกระทบน้อยที่สุดหรือไม่เกิดเลย
และจากการศึกษา ETDA พบ 2 ประเด็นที่น่าสนใจ ประเด็นแรก Turning Data Privacy Principles into Action ที่การส่งต่อข้อมูลด้านสุขภาพส่วนบุคคลจะเป็นไปโดยไร้รอยต่อ สถานพยาบาลสามารถเชื่อมต่อและส่งต่อข้อมูล เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่เจ้าของข้อมูลเองจะมีความรู้และวิจารณญาณในการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองมากขึ้น และ
ประเด็นที่สอง Seamless Integration of AI การบูรณาการประยุกต์ใช้ AI ทางการแพทย์จะกลายเป็นเรื่องพื้นฐานและพัฒนาจนเกิดเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ขั้นสูง มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านสุขภาพ จากประเด็นข้างต้น จะเห็นว่า สิ่งที่ ETDA หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งดำเนินการไม่เพียงการวางรากฐานความรู้ความเข้าใจในเรื่องของ Data Privacy ให้แก่ประชาชนทั่วไปเท่านั้น แต่ต้องเร่งผลักดันให้การประยุกต์ใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและธรรมาภิบาล ภายใต้แนวทางปฏิบัติการใช้งานที่เหมาะสมกับระบบสาธารณสุขของประเทศ รวมถึงการผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเป็นรูปธรรม เกิดการสร้างมาตรฐานของข้อมูลด้านสุขภาพที่มีการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้กระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) ที่เข้ามาช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า สุขภาพและสุขภาวะกลายเป็นประเด็นสำคัญต่อการพัฒนาของประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต การมีระบบสุขภาพและสุขภาวะที่ดีสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย NIA ในฐานะ ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม (Focal Conductor) ส่งเสริมนวัตกรรมทางด้านการแพทย์และสุขภาพมาอย่างต่อเนื่อง ภาพอนาคตสุขภาพและสุขภาวะสังคมไทยที่คณะวิจัยจากทั้งสี่หน่วยงานได้ร่วมกันพัฒนา สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นขับเคลื่อนที่กำลังสร้างผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงต่อระบบสุขภาพและสุขภาวะในสังคมไทย ภายใต้การขับเคลื่อนสู่ภาพอนาคตทั้ง 6 ประเด็น ได้แก่
และเมื่อกล่าวถึงนวัตกรรม สตาร์ทอัพก็มีส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมมาแก้ปัญหาหรือ Pain Point โดยปัจจุบันมีสตาร์ทอัพไทยที่นำเสนอบริการนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ทางด้านสุขภาพและสุขภาวะหลากหลายรูปแบบ เช่น ระบบบริหารจัดการข้อมูลทางการแพทย์ส่วนบุคคลด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent) บริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) วัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ขั้นสูง (Advanced medical material and device) รวมถึงผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพ เครื่องดื่มและอาหารเสริมสุขภาพที่มีงานวิจัยรองรับ (Supplement food and drink) แพลตฟอร์มให้บริการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical tourism platform) แพลตฟอร์มส่งเสริมสุขภาพจิตออนไลน์ในลักษณะ Software-as-a-Service (SaaS Platform) เหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสของนวัตกรรมไทยที่จะสร้างการเติบโตและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศ
ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่อนาคตศาสตร์และสินทรัพย์ดิจิทัล ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษาฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ โดย บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales LAB by MQDC) กล่าวว่า คณะผู้วิจัยได้บูรณาการแนวคิดนิเวศวิทยาสังคมของพฤติกรรมทางสุขภาพ (Social ecology of health behavior) และแนวคิดเชิงระบบนิเวศด้านสุขภาพและสุขภาวะ (Health and wellness ecosystem) เพื่อสร้างกรอบแนวคิดการวิจัยในการกำหนดแนวทางการศึกษา และได้พัฒนาภาพอนาคต ออกมาเป็น 5 รูปแบบ ได้แก่
ระบบสุขภาพเปราะบางย่ำแย่ ขาดแคลนทรัพยากร ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีประสิทธิภาพได้ ผู้ป่วยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง เกิดช่องว่างของความต้องการดูแลสุขภาพขนาดใหญ่
ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภัยพิบัติและภัยคุกคามด้านสาธารณสุข รวมถึงส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพและเสมอภาค
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงช่วยยกระดับการบริการสุขภาพให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีความจำเพาะต่อผู้รับบริการแต่ละบุคคล แต่ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำ ความปลอดภัยของข้อมูล และจริยธรรมจะกลายเป็นความเสี่ยงสำคัญ
ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานและการออกแบบพัฒนาเมืองเพื่อให้เกิดเมืองแห่งสุขภาวะเป็นโอกาสการเติบโตที่สำคัญของผลิตภัณฑ์และบริการในหลายธุรกิจที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้น
เกิดการกระจายศูนย์กลางของระบบสุขภาพโดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรม มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสถานบริการสุขภาพและสุขภาวะที่ขับเคลื่อนร่วมกันโดยภาครัฐและภาคเอกชน เน้นการให้บริการที่สะดวกสบาย ยืดหยุ่น และตอบสนองตามความต้องการของแต่ละบุคคล
งานวิจัย อนาคตสุขภาพและสุขภาวะสังคมไทย พ.ศ. 2576 (Futures of Health and Wellness in Thailand 2033) ที่เกิดขึ้นนี้ จึงเป็นชุดข้อมูลและองค์ความรู้สำหรับกำหนดแนวทางเพื่อการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและสุขภาวะได้เป็นอย่างดี และช่วยสะท้อนภาพอนาคตของการพัฒนาระบบสุขภาพของสังคมไทยให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดผลงานวิจัยฯ ได้ที่ https://www.futuretaleslab.com/research/futuresofhealthandwellness2033
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด