องค์กรที่ร่วมจัดทำงานวิจัย อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576 มีทั้งหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชน ได้แก่
ความร่วมมือจากทุกหน่วยงานมีเป้าหมายหลักเพื่อร่วมกันรับมือ ป้องกัน และส่งเสริมสุขภาวะทางจิตของคนไทยในอนาคต โดยมุ่งเน้นนำเสนอประเด็นปัญหาสำคัญ สถานการณ์ปัจจุบัน สัญญาณการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ ภาพอนาคต และข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพจิตของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับการเผยแพร่องค์ความรู้ออกสู่สาธารณะ ทั้งในมิติสังคม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม กฎหมาย นโยบาย และค่านิยม รวมถึงการออกแบบอนาคตที่พึงประสงค์ต่อการดูแลสุขภาพจิตของประเทศไทยในอนาคตร่วมกัน
ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ผู้อำนวยการบริหาร ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษาฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ โดย บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales Lab by MQDC) ยกตัวเลขขึ้นมาบอกว่า ปัจจุบัน ผู้คนทั่วโลกมีโรคทางด้านสุขภาพจิตโดยเฉลี่ยถึง 36% ซึ่งสูงกว่าโรคมะเร็งที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 34% ยิ่งไปกว่านั้น UN ยังประกาศให้ 80% ของประเทศในเครือข่ายทั่วโลก นำการดูแลสุขภาพจิตมาเป็นการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030)
เมื่อมองดูประเทศไทย 80.6% ของคนเมือง มีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มสูงขึ้น และมากกว่าผู้อาศัยในเขตชนบทเกือบครึ่ง (48.9%) ชี้ให้เห็นว่า การจะทำให้คนที่อาศัยในเมืองมีสุขภาวะที่ดี เราจะต้องเข้าใจและดูแลสุขภาพจิตให้เตรียมพร้อมกับหลากหลายเหตุการณ์ด้วย เช่น โรคระบาด หรือ ภาวะเศรษฐกิจไม่มั่นคง
ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานในการจัดทำงานวิจัย อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576 (Futures of Mental Health in Thailand 2033) มีเป้าหมายหลักเพื่อร่วมกันรับมือ ป้องกัน และส่งเสริมสุขภาวะทางจิตของคนไทยในอนาคต ซึ่งมุ่งเน้นนำเสนอประเด็นปัญหาสำคัญ สถานการณ์ปัจจุบัน สัญญาณการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ ภาพอนาคต และข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพจิตของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับการเผยแพร่องค์ความรู้ออกสู่สาธารณะ ทั้งในมิติสังคม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม กฎหมาย นโยบาย และค่านิยม รวมถึงการออกแบบอนาคตที่พึงประสงค์ต่อการดูแลสุขภาพจิตของประเทศไทยในอนาคตร่วมกัน
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ทำให้การใช้ชีวิตยากลำบากขึ้น ประกอบกับค่านิยมของสังคมไทยที่มี การตีตราผู้มีปัญหาด้านสุขภาพจิตอยู่มาก ความตระหนักเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิตยังคงมีอยู่น้อย ทำให้การสร้างเสริมสุขภาพจิตของผู้คนในสังคมไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร
คนไทยจำนวนหนึ่งยังขาดความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคมรอบข้าง นำไปสู่การละเลย เพิกเฉย และปฏิเสธการเข้ารับบริการสุขภาพจิต สถานการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับแนวโน้มปัญหาด้านสุขภาพจิตในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมต่าง ๆ ทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตในสังคมที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเครียด การเกิดโรคซึมเศร้า ภาวะหมดไฟ และในบางกรณีนำมาซึ่งการสูญเสียจากการทำร้ายตนเอง
นอกจากนี้ ทั้ง 4 องค์กรยังร่วมจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วย 'โครงการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือด้านนวัตกรรมและอนาคตศึกษาด้านสุขภาพจิต' ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการบูรณาการระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อยกระดับสุขภาพจิตของคนในสังคมไทย โดยกรมสุขภาพจิตจะร่วมค้นคว้า สนับสนุนการประชาสัมพันธ์ผลการศึกษาวิจัยอนาคตศึกษาด้านสุขภาพจิตผ่านช่องทางต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงนำเสนอผลการศึกษาวิจัยอนาคตศึกษาด้านสุขภาพจิตเพื่อนำไปใช้ประโยชน์เชิงนโยบายด้านสุขภาพจิตที่เหมาะสมกับฉากทัศน์ด้านสุขภาพจิตของอนาคต
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า NIA โดยสถาบันการมองอนาคตนวัตกรรม หรือ IFI ส่งเสริมและสนับสนุนการนำการมองอนาคตมาใช้ในการติดตามแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิต ซึ่งแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของคนในสังคมไทย มีรายงานว่าประชาชนไทยต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี แต่การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตยังไม่ครอบคลุมมากนัก กอปรกับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ของสังคมไทย พบว่าปัญหาสุขภาพจิตในผู้สูงอายุและปัญหาความขัดแย้งอันเกิดจากช่องว่างระหว่างวัยกลับยังไม่สามารถแก้ไขหรือป้องกันได้ ทั้งนี้การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นสื่อสันทนาการหรือเข้ามามีส่วนช่วยในระบบบริการทางด้านสุขภาพจิตนั้น สามารถช่วยยกระดับสุขภาวะของคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันมีสตาร์ทอัพไทยที่นำเสนอบริการนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ทางด้านสุขภาพจิตหลากหลายรูปแบบ เช่น การจัดทำหลักสูตรสอนการฟังเชิงลึก (deep listening) ที่ผ่านการรับรองจากกรมสุขภาพจิตบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในลักษณะ Software-as-a-Service (SaaS Platform) การทำแอปพลิเคชันที่นำเสนอกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพจิตรูปแบบต่างๆ ให้เป็นเรื่องสนุกและช่วยให้ผู้ใช้งานมีทักษะและพลังยืดหยุ่นด้านสุขภาพจิตมากขึ้น และแชตบอตที่ช่วยเก็บข้อมูลการทำกิจกรรมจากผู้ใช้งานไปวิเคราะห์ความเสี่ยงของอาการซึมเศร้า
ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) กล่าวถึง ETDA โดย ศูนย์คาดการณ์อนาคต Foresight Center by ETDA ว่าทำหน้าที่เสมือนถังความคิด (Think Tank) ในการติดตามสัญญาณ (Signal) และแนวโน้ม (Trend) ในอนาคตเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งนำไปสู่การหาปัจจัยขับเคลื่อน (Driver) การจัดทำเป็นภาพฉายอนาคต (Scenario) ต่อยอดสู่การจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
"จากการศึกษาครั้งนี้ พบว่าปัจจุบัน เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในสังคมไทย โดยเราเริ่มเห็นสัญญาณของเทคโนโลยีกับสุขภาพจิตใน 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. ความพร้อมในการก้าวสู่สังคมดิจิทัล คนไทยส่วนใหญ่มีความพร้อมและใช้งาน Social Media เป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ในแง่ของ 2. การรู้เท่าทัน กลับพบว่า มีไม่มากนัก โดยสะท้อนจากสถิติของการถูกหลอกทางออนไลน์ ข่าวปลอม และการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องมีตัวเลขเพิ่มสูงต่อเนื่องทุกปี"
นี่คือโจทย์สำคัญของประเทศ รวมถึง ETDA ที่จะเดินหน้าอย่างไร เพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีดิจิทัลไปพร้อมๆกับการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ควบคู่ไปกับการสร้าง Literacy สร้างภูมิคุ้มกันในโลกดิจิทัลให้กับคนไทย และจะป้องกันผลกระทบของปัญหาสุขภาพที่เป็นผลมาจากการใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นได้อย่างไร
หากวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาสุขภาพจิตในเชิงลึกจะพบว่ามีปัจจัยหลักอยู่ 3 ด้าน ได้แก่
เหนือสิ่งอื่นใด ผลการวิจัยยังเผย Megatrends หรือ แรงผลักดันขนาดใหญ่ คือ แนวโน้มความเปลี่ยนแปลงที่ก่อตัวขึ้นและมีโอกาสสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม สภาพแวดล้อม และการใช้ชีวิต ซึ่งจะส่งอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงของภาพอนาคตไปสู่ทิศทางใดทิศทางหนึ่ง โดยมี 7 เทรนด์ ดังนี้
มาที่ ภาพอนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576 ผู้ร่วมวิจัยฉายภาพอนาคตออกเป็น 5 ฉากทัศน์ (5 Scenarios) ได้แก่ การระเบิดของความหวาดกลัว, วิกฤติที่แฝงด้วยโอกาส, มวลชนผู้โดดเดี่ยว, สุขภาพใจที่กระจายถึงกัน และ จุดหมายแห่งความสุข
ผู้คนในสังคมมีอารมณ์เชิงลบเป็นหลัก ทั้งความรู้สึกกลัว เจ็บปวด บอบซ้ำ โกรรแค้น สับสน และสิ้นหวัง ซึ่งเกิดจากปัญหาในชีวิตด้านต่าง ๆ รุมเร้าและทับซ้อนกันเป็นชั้น ๆ มีการใช้พฤติกรรมที่รุนแรงมากขึ้น และเป็นเหยื่อของความรุนแรงมากขึ้น ในเวลาเดียวกัน ผู้คนมีความเสี่ยงโรคจิตเวชมากขึ้น เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคติดยาเสพติด และอัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายสูงขึ้น คนส่วนมากไม่มีเวลา สำหรับการทำสิ่งที่ตัวเองชอบเพื่อสร้างความสุข แต่ต้องใช้เวลาว่างไปกับการหารายได้เสริมเพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น หรือดิ้นรนหาทางย้ายถิ่นฐานเพื่อไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย และสร้างความสุขให้แก่ตนเองและครอบครัวได้
ความเจ็บปวดจากปัญหาทางสังคมที่ถูกละเลยมานานจะกลายเป็นความหวาดกลัว และก่อตัวเป็นปรากฏการณ์ความรุนแรงครั้งใหญ่ ที่บังคับให้ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องยกระดับการแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการอย่างแท้จริง
สถานการณ์ที่ผันผวนรุนแรงต่อเนื่องของสภาพสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ส่งผลให้ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความกังวล และพยายามเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง
ประเทศไทยเป็นประเทศต้นแบบด้านสุขภาพจิตและเป็นจุดมุ่งหมายการใช้ชีวิตของผู้คนจากทั่วโลก ทุกภาคส่วนวางเรื่องสุขภาพจิตไว้ในทุกองค์ประกอบ ประชาชนรู้สึกมีความสุขและภาคภูมิใจ
การศึกษาการคาดการณ์อนาคตสุขภาพจิตของคนไทยจะเป็นข้อมูลสำคัญที่นำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายหรือทิศทางการดูแลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการดูแล รักษา ป้องกันด้านสุขภาพจิต รวมไปถึงการอัปเดตเทรนด์นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถยกระดับอนาคตสุขภาพจิตของคนไทยได้ และในตอนท้ายผลการวิจัย 'อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576' ยังมี ข้อเสนอต่อการปฏิบัติ (Guide to Action) สำหรับ 4 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ, ชุมชน, ประชาชน และ ภาคเอกชน โดยในที่นี้ขอยกตัวอย่างเพียงบางส่วนจากข้อเสนอที่มีต่อ 'ภาครัฐ' ดังนี้
หากต้องการอ่านผลการวิจัย 'อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576 (FUTURES OF MENTAL HEALTH IN THAILAND 2033)' หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดได้ ที่นี่ (แล้วกด Skip Advertisement)
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด