ชาว Gen Z (Gen Zers) คือกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แต่ยังกังวลว่าตัวเองจะขาดทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน (soft skills) และยังต้องการการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลเพิ่มมากขึ้น ถึงกระนั้น มืออาชีพระดับอาวุโสมีความหวาดเกรงที่จะโดนเด็กที่โตมาในยุคดิจิทัลแย่งเก้าอี้ในการทำงาน
ในเวลานี้ กลุ่มคน Gen Z กำลังทยอยก้าวสู่การทำงาน พร้อมนำพาแนวความคิดที่ว่าเทคโนโลยีต้องมาก่อนจึงจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวหน้าต่อไปได้ในยุคดิจิทัลเข้ามาพร้อมกัน และในขณะเดียวกัน ก็มีแนวโน้มที่อาจสร้างการแบ่งแยกที่ชัดเจนยิ่งขึ้นระหว่างกลุ่มคนทำงานทั้ง 5 เจเนอเรชั่นที่ยู่ในภายในองค์กรเดียวกัน จากผลการวิจัยทั่วโลกที่สนับสนุนการจัดทำโดยเดลล์ เทคโนโลยีส์ พบว่า คนในยุคหลังมิลเลนเนียล (post-millennials) หรือคนที่เกิดหลังปี 1996 และเป็นที่รู้จักในนาม Gen Z มีความเข้าใจและรอบรู้เทคโนโลยีในเชิงลึก และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทั้งวิถีการทำงานและการใช้ชีวิตของเราออกไป
“แทบจะเป็นที่รู้กันว่ากลุ่มคนที่เติบโตมาในยุคดิจิทัลมีทักษะด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและเทคโนโลยีล้ำหน้า แต่ที่น่าแปลกใจก็คือระดับของวุฒิภาวะด้านดิจิทัลที่พวกเขานำมาสู่ที่ทำงาน” นายอโณทัย เวทยากร รองประธานบริหาร เดลล์ อีเอ็มซี ภูมิภาคอินโดจีน กล่าว “เรายังไม่ได้ไปถึงจุดที่สร้างเจเนอเรชั่นของคนที่เป็นหุ่นยนต์ขึ้นมา เนื่องจากคนใน Gen Z มองว่าเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับมนุษย์ แต่ยังเป็นเสมือนวิธีการในการยกระดับการแข่งขันที่ต้องอาศัยศักยภาพด้านข้อมูลอีกด้วย ซึ่งการผสมผสานทั้งวิสัยทัศน์ และการมองโลกในแง่ดีของคนกลุ่มนี้นับว่าไม่ธรรมดา”
จากผลการสำรวจบรรดานักเรียนในระดับมัธยม วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยกว่า 12,000 แห่งใน 17 ประเทศ รวมถึงผู้ตอบการสำรวจจำนวน 722 รายจากประเทศไทย และ 4,331 รายจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีอายุระหว่าง 16 ถึง 23 ปี เผยให้เห็นภาพรวมของคนรุ่นเยาว์ที่มีต่อเทคโนโลยีและงานในอนาคต โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้
ผู้ตอบสำรวจในจำนวนที่สูงถึง 89 เปอร์เซ็นต์ ต่างเข้าใจดีว่าเรากำลังก้าวสู่ยุคของความร่วมมือระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (human-machine partnership) โดย 51 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย 64 เปอร์เซ็นต์) ของบรรดาผู้เข้าร่วมการสำรวจเชื่อว่ามนุษย์และเครื่องกลจะทำงานร่วมกันเสมือนเป็นทีมเดียวกัน ในขณะที่ 38 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย 30 เปอร์เซ็นต์) มองว่าเครื่องกลเป็นเสมือนเครื่องมือที่มนุษย์เรียกใช้ได้ตามต้องการ
การที่กลุ่มคน Gen Z เติบโตมาในยุคดิจิทัล ทำให้ชาว Gen Z ส่วนใหญ่ มีความมั่นใจในความสามารถด้านเทคโนโลยี โดยในประเทศไทย 76 เปอร์เซ็นต์ของคนกลุ่มนี้ ต่างระบุว่าความสามารถด้านเทคโนโลยีของตนอยู่ในระดับที่ดีหรือยอดเยี่ยม และ 73 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่ามีทักษะในการเขียนโค้ด (coding skills) สูงกว่ามาตรฐานทั่วไป และที่มากไปกว่านั้นก็คือ 95 เปอร์เซ็นต์ของชาว Gen Z ในประเทศไทย ปรารถนาที่จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาเพื่อให้ความรู้ให้กับผู้ร่วมงานอายุมากกว่าที่อาจมีประสบการณ์เรื่องเทคโนโลยีน้อยกว่า
ในทางกลับกัน ชาว Gen Z มีความกังวลเกี่ยวกับทักษะที่เหมาะสมในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมไปถึงประสบการณ์ที่ผู้ว่าจ้างมองหาอีกด้วย โดยในส่วนของประเทศไทย
ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนที่เป็นมืออาชีพในระดับอาวุโส ก็มีความกังวลว่าจะโดนเด็กรุ่นใหม่แซงหน้า และบทบาทของผู้นำในอนาคตส่วนใหญ่จะกลายเป็นของเด็กรุ่นใหม่ที่โตมาในยุคดิจิทัล สอดคล้องตามการวิจัยของเดลล์ เทคโนโลยีส์ ที่ว่า 87 เปอร์เซ็นต์ของผู้นำธุรกิจกลัวว่าองค์กรของตนจะพยายามมอบโอกาสด้านการทำงานที่ทัดเทียมให้กับคนต่างรุ่น
ปัจจุบันในที่ทำงานมีคนทำงานอยู่ถึง 5 เจเนอเรชั่น ฉะนั้นองค์กรธุรกิจควรช่วยให้คนทำงานเหล่านี้หาจุดร่วมที่เหมือนกันให้เจอ ในเวลาที่ต้องผลักดันไปสู่การสร้างวัฒนธรรมของการให้ความสำคัญกับดิจิทัลเป็นอันดับแรก หรือ digital-first โดยทีมงานที่ต้องทำงานข้ามสายงานและมีทักษะที่ครบครันสามารถกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ และการแก้ปํญหาด้วยวิธีแบบใหม่ โปรแกรมนักศึกษาฝึกงาน และการหมุนเวียนงาน รวมถึงโอกาสอื่นๆ ในการพัฒนาความก้าวหน้าทางอาชีพตั้งแต่เริ่มต้น สามารถช่วยให้มืออาชีพรุ่นเยาว์ได้รับประสบการณ์ในการทำงานและพัฒนาทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนได้เช่นกัน และโปรแกรมการผลัดกันเป็นที่ปรึกษาสามารถช่วยเพิ่มพูนความสามารถด้านเทคโนโลยีภายในองค์กร โดยมีเจนแซดเป็นผู้เบิกทางในเรื่องนี้
แม้ว่าคนรุ่นเจนแซด จะมีการสื่อสารโต้ตอบโดยใช้อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ได้อย่างดีมาตั้งแต่เกิด และเติบโตมาในยุคโซเชียลมีเดีย แต่เจนแซด ก็ยังต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในที่ทำงานมากขึ้น
จากผลการศึกษาในประเทศไทย
“มืออาชีพรุ่นเยาว์ในปัจจุบัน ต่างเติบโตมาในสภาพแวดล้อมการศึกษาที่ต้องทำงานร่วมกัน และคาดหวังความร่วมมือดังกล่าวจากที่ทำงานเช่นกัน” มาริเบล โลเปซ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเทคโนโลยี และที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ ของ Lopez Research กล่าว
แม้ว่าการสื่อสารที่ต้องพูดคุยกันต่อหน้าจะไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยในที่ทำงานสมัยใหม่ แต่เทคโนโลยีที่ให้ความรู้สึกเสมือนจริง (immersive technologies) ก็ช่วยให้คนทำงานทุกประเภทสามารถประสานความร่วมมือได้ทั้งในโลกการทำงานจริงและโลกเสมือนจริง
นายอโณทัย กล่าวเสริมว่า “ท้ายที่สุด เหล่าองค์กรที่สร้างกำลังคนโดยที่สามารถรองรับและให้การสนับสนุนคนทำงานในทุกเจเนอเรชั่นได้ ก็จะเติบโตได้ในยุคแห่งความร่วมมือระหว่างมนุษย์และเครื่องกล คนทำงานที่ผสานการทำงานร่วมกันได้ดีนับเป็นขุมพลังที่จะช่วยให้องค์กรปฏิรูปและประสบความสำเร็จได้ในอนาคตดิจิทัล
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด